สิทธิผู้บริโภคอีกโจทย์ใหญ่ของสังคมไทย
15 มีนาคมของทุกปี ถือเป็นวันที่มีความสำคัญอย่างมากกับผู้บริโภคทุกคน เนื่องจากเป็น “วันสิทธิผู้บริโภคสากล” ซึ่งกำหนดขึ้นเพื่อให้ทุกคนร่วมกันตระหนักถึงสิทธิของผู้บริโภคที่ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่หมายถึงประชาชนทุกคนที่ต้องกินต้องใช้สินค้าและบริการต่างๆ
หากพูดถึงเรื่องการถูกละเมิดสิทธิของผู้บริโภคในบ้านเรานั่นยังพบว่ามีจำนวนไม่น้อย โดยนายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคบอกกับเราว่าในปีนี้ทางศูนย์ได้รับการร้องเรียนเรื่องของการละเมิดสิทธิในทุกๆ กรณี อยู่ที่ประมาณ 1,000 กว่าราย โดยในปี 2554 อยู่ที่ 900 กว่าราย หากมองในภาพรวมแล้วสถานการณ์ก็ยังถือว่าคงที่ ซึ่งปัญหาโดยทั่วไปที่มักพบ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกิดการชำรุด อาหารที่เน่าเสีย เป็นต้น
“แต่น่าแปลกที่เราพบว่า มีเรื่องที่สามารถร้องเรียนได้ แต่ไม่พบว่ามีคนมาร้องเรียนเลย นั่นอาจเป็นเพราะประชาชนส่วนใหญ่คิดว่าร้องเรียนไม่ได้ หรือร้องเรียนแล้วไม่ได้รับการแก้ปัญหา นั่นคือเรื่องของ ราคาสินค้าที่แพงขึ้น เช่น ราคาน้ำมัน ก๊าส หรือข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ที่เข้าคิวรอขยับขึ้นราคา ซึ่งคนทั่วไปมักคิดว่า เรื่องแบบนี้ต้องไปร้องกรมการค้าภายในอย่างที่เป็นข่าวเพียงอย่างเดียว ซึ่งปัญหาเช่นนี้มันเกี่ยวกับนโยบายของรัฐ อย่างต้นทุนราคาน้ำมัน ถ้ารัฐประกาศให้ขึ้นมันก็ขึ้นกันอย่างต่อเนื่อง ทางที่ดีมันต้องแก้ที่ต้นเหตุ” นายอิฐบูรณ์กล่าว
หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคบอกต่อว่าตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนสิงหาคม ปี 2554 ที่ผ่านมา ปัญหาที่มีการร้องเรียนและขอคำปรึกษาเข้ามาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคมากเป็นอันดับหนึ่ง เป็นปัญหาเกี่ยวกับการเงินหนี้สินของผู้บริโภคโดยมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 50 ของเรื่องร้องเรียนทั้งหมด และที่นำมาเป็นอันดับหนึ่งในปัญหากลุ่มการเงินและหนี้สินคือปัญหาหนี้บัตรเครดิตซึ่งมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 50 ของกลุ่มปัญหาเรื่องหนี้สินทั้งหมด ยอดร้องเรียนในลักษณะนี้เป็นมาตั้งแต่ช่วงปี 2547-2548 ที่ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงบัตรเครดิตโดยไม่ได้กำหนดฐานรายได้ ไม่มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้ชัดเจน ไม่มีการให้ข้อมูลที่เพียงพอครบถ้วนในการเลือกใช้บัตรเครดิตอย่างเหมาะสมทำให้ผู้ถือบัตรเครดิตจำนวนมากประสบปัญหาหนี้สินมาจนถึงวันนี้
“ด้วยเหตุนี้เราจึงจำเป็นต้องมี เครือข่ายชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อที่เกิดจากการรวมตัวกันของผู้ที่มีปัญหานี้ ซึ่งเราได้เปิดพื้นที่ในเว็บไซด์มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อให้กลุ่มคนเหล่านี้ ได้เข้ามาแลกเปลี่ยน สอบถามและให้ข้อมูลที่ถูกต้องซึ่งกันและกัน ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกแล้วกว่า 2 หมื่นราย ซึ่งผู้ที่สามารถแก้ไขและผ่านพ้นปัญหาเรื่องนี้ไปแล้วก็จะมีจิตอาสาเข้ามาให้คำปรึกษาหลังเวลางานประจำ โดยเข้ามาตอบปัญหา ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และให้คำแนะนำที่ดี ส่วนของมูลนิธิฯ ก็จะช่วยดูในเรื่องของ กฏหมาย การฟ้องร้องในชั้นศาลต่อไป นอกจากนี้เรายังมีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ หรือเข้ามาที่มูลนิธิฯ โดยตรง ซึ่งเราเรียกว่าคลินิคของคนเป็นหนี้” หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค กล่าว
ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนส่วนใหญ่ยังคงเป็นหนี้อยู่นั้น นายอิฐบูรณ์บอกกับเราว่า เป็นเพราะคนส่วนใหญ่ได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน เช่น ส่วนใหญ่สถาบันการเงินจะไม่เน้น การบอกข้อมูลให้ชัดเจนในเรื่องดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียม ที่สูงและการเปิดพื้นที่ให้คนเข้าถึงบัตรเครดิตได้หลายใบ โดยไม่เช็คข้อมูลความสามรถในการชำระหนี้ของบุคคลนั้นๆ ทำให้คนเข้าถึงเงินและเป็นหนี้ได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการไม่มีวินัยของผู้ที่ติดบริโภคนิยมด้วย
นายอิฐบูรณ์ บอกต่อว่าการจะลดปัญหาเหล่านี้ลงได้นั้น สำคัญที่สุดคือตัวเราเองต้องมีความรู้ให้มากขึ้น และจำเป็นต้องมีช่องทางการให้ความรู้แก่ประชาชนที่เพิ่มขึ้นด้วย จากที่ทางมูลนิธิฯ ได้ทำก็มีอยู่หลายทาง เช่น เว็บไซต์www.consumerthai.org ที่เป็นคลังข้อมูล หนังสือฉลาดซื้อที่มีเนื้อหาในการให้ข้อมูลในเชิงเปรียบเทียบการซื้อ การใช้บริการต่างๆ และจัดทริปทัวร์ให้การสื่อสารโดยตรงกับผู้ที่สนใจ รวมถึงรายการต่างๆ ที่ค่อยให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาสิทธิผู้บริโภคในด้านต่างๆ อีกด้วย
“ในวันสิทธิผู้บริโภคสากลนี้ อยากฝากถึงทุกคน ว่า สิทธิที่สำคัญของผู้บริโภค คือสิทธิที่ได้รับความคุ้มครองจากผู้ประกอบการและหน่วยงานของรัฐ ในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน เพราะฉะนั้นข้อสำคัญ คือ ผู้บริโภคต้องตระหนักรู้ในการพิทักษ์สิทธิของตนเองก่อน และต้องแสวงหาให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบ และในขณะเดียวกันผู้ประกอบการเองก็ต้องเคารพสิทธิของผู้บริโภคด้วยเช่นกัน ปัญหาทุกอย่างจึงจะหมดไปอย่างสิ้นเชิง” นายอิฐบูรณ์กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ที่ต้องการคำแนะนำหรือการช่วยเหลือ สามารถติดต่อกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้โดยผ่านเว็บไซต์ www.consumerthai.org หรือ www.facebook.com/consumerthai และสามารถเข้ามาโดยตรงได้ที่มูลนิธิฯ เลขที่ 4/2 ซอยวัฒนโยธิน แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กทม. 10400 โทรศัพท์ 0-2248-3734-7
เรื่องโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th