สิทธิที่ถูกละเมิด…เสียงเล็กๆ ที่ถูกลืม

ให้ความสนใจและหันกลับมามอง

 

สิทธิที่ถูกละเมิด…เสียงเล็กๆ ที่ถูกลืม

            เด็กที่ถูกทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเกิดจากการกระทำของพ่อแม่หรือผู้ปกครองเป็นสิ่งที่พบเห็นประจำตามหน้าหนังสือพิมพ์แทบจะทุกวัน…แล้วคุณเคยที่จะย้อนกลับไปมองไหมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการละเมิดสิทธิของเด็กหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เององค์การสหประชาติจึงได้บัญญัติหลักอนุปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิเด็กและเยาวชนขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั่วโลกต้องปฏิบัติร่วมกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

            ข้อ 1.  เด็กและเยาวชนพึงได้รับสิทธิเท่าเทียมกันโดยปราศจากการแบ่งแยกหรือกีดกัน ไม่ว่าโดยวิธีใดๆ ในเรื่องเชื้อชาติ ผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง เผ่าพันธุ์แห่งชาติหรือสังคมทรัพย์สิน กำเนิด หรือสถานะอื่นๆ ไม่ว่าจะของเด็กหรือของครอบครัวก็ตาม

 

            ข้อ 2.  เด็กและเยาวชนพึงได้รับการพิทักษ์คุ้มครองเป็นพิเศษอันจะช่วยให้เด็กสามารถพัฒนาทั้งทางกาย ทางสมอง และจิตใจเพื่อให้ร่วมอยู่ในสังคมได้อย่างปกติชน

 

            ข้อ 3.  เด็กและเยาวชนมีสิทธิที่จะได้มีชื่อ และมีสัญชาติแต่กำเนิด

 

            ข้อ 4.  เด็กและเยาวชนพึงได้รับความมั่นคงทางสังคม และเติบโตอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นทั้งแม่และเด็กควรได้รับการดูแลและคุ้มครองเป็นพิเศษ ทั้งเมื่ออยู่ในครรภ์ และภายหลังเมื่อคลอดแล้วโดยได้รับสิทธิในเรื่องที่อยู่อาศัย ได้รับอาหาร ได้รับการดูแลทางแพทย์ และโดยเฉพาะเด็กๆ ให้ได้รับการเล่นรื่นเริงเพลิดเพลินด้วย

 

            ข้อ 5. เด็กและเยาวชนที่พิการทั้งทางร่างกาย สมอง และจิตใจ มีสิทธิที่จะได้รับการรักษาพิเศษ หมายถึงการดูแลรักษาและการศึกษาที่เหมาะสมกับสภาวะของเด็กโดยเฉพาะ

 

            ข้อ 6. เด็กและเยาวชนพึงได้รับความรัก และความเข้าใจอันจะช่วยพัฒนาบุคลิกของตน โดยเติบโตอยู่ในความรับผิดชอบของบิดา มารดาของเด็กเอง และในทุกกรณีเด็กจะต้องอยู่ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นปลอดภัย และไม่พลัดพรากจากพ่อแม่ในกรณีที่เด็กไม่มีครอบคร้ว หรือมาจากครอบครัวที่ยากจน และมีลูกมากก็จะได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษ จากรัฐหรือองค์การต่างๆ

 

            ข้อ 7. เด็กและเยาวชนมีสิทธิที่จะได้รับการศึกษาซึ่งครูควรจะจัดให้เปล่าอย่างน้อยในชั้นประถมศึกษา เพื่อเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมโดยทั่วๆ ไป และให้เด็กเติบโตเป็นสมาชิกผู้ยังประโยชน์ต่อสังคมคนหนึ่ง การศึกษานี้คลุมไปถึงการแนะแนวทางชีวิต ซึ่งมีบิดามารดาเป็นผู้รับผิดชอบก่อนบุคคลอื่นๆ เด็กจะต้องมีโอกาสได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน จากการเล่นและรื่นเริงพร้อมกันไปด้วย

 

            ข้อ 8. เด็กและเยาวชนจะเป็นบุคคลแรกที่ได้รับการคุ้มครองและสงเคราะห์ในทุกกรณี

 

            ข้อ 9. เด็กและเยาวชนพึงได้รับการปกป้องให้พ้นจากการถูกทอดทิ้ง จากความโหดร้ายทารุณ และการถูกข่มเหง รังแกทุกชนิด เด็กจะต้องไม่กลายเป็นสินค้า ไม่ว่าในรูปใดจะต้องไม่มีการรับเด็กเข้าทำงานก่อนวัยอันสมควร ไม่มีการกระทำใดๆ อันจะมีชักจูงหรืออนุญาติเด็กให้จำต้องรับจ้างทำงาน ซึ่งอาจเป็นผลร้ายต่อสุขภาพของเด็ก หรือเป็นเหตุให้การพัฒนาทางกายทางสมองและทางจิตใจของเด็กต้องเสื่อมลง

 

            ข้อ 10. เด็กและเยาวชนพึงได้รับการคุ้มครองให้พ้นจากการกระทำที่แสดงถึงการกีดกัน แบ่งแยกไม่ว่าทางเชื้อชาติ ศาสนาหรือรูปใดๆ เด็กจะต้องได้รับการเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นมา “ในภาวะแห่งจิตที่เต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ และมีการหย่อนหนักหย่อนเบา มิตรภาพระหว่างชนชาติต่างๆ สันติภาพ และภาพสากล และด้วยการสำนึกเต็มที่ว่าพลกำลังและความสารถพิเศษในตัวเขา ควรจะอุทิศเพื่อรับใช้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน”

 

             แต่เมืองไทยเรานั้นได้ร่วมรวบสาระสำคัญ ในเรื่องของสิทธิเด็ก อยู่ 4 ข้อด้วยกันคือ

 

            1.  สิทธิในการดำรงชีวิต หรือสิทธิพื้นฐานทั่วไปของเด็ก ครอบคลุมสิทธิในการมีชีวิตอยู่ สิทธิที่จะได้รับบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน สิทธิที่จะมีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีพอ รวมถึงสิทธิในการมีชื่อและสัญชาติ

 

            2. สิทธิในการได้รับการปกป้องคุ้มครองจากการถูกเอารัดเอาเปรียบทางเพศ การใช้แรงงานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือพัฒนาการของร่างกาย สมอง จิตใจ ศีลธรรมและสังคมของเด็กจากการถูกทรมานหรือถูกลงโทษ หรือการกระทำในลักษณะที่โหดร้าย ตลอดจนการปกป้องคุ้มครองเด็กที่มีชีวิตอยู่ในภาวะยากลำบาก เช่น เด็กพิการ เด็กผู้ลี้ภัย เด็กกำพร้า

 

             3. สิทธิที่จะได้รับการพัฒนา ครอบคลุมถึงสิทธิที่จะได้เล่นและพักผ่อน สิทธิที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวัฒนธรรม สิทธิที่จะได้รับการศึกษาทุกประเภททั้งในและนอกระบบโรงเรียน และสิทธิที่จะมีมาตรฐานความเป็นอยู่เพียงพอกับการพัฒนาร่างกาย จิตใจ ความรู้สึกนึกคิด ศีลธรรมและสังคม

 

             4.  สิทธิในการมีส่วนร่วม ครอบคลุมสิทธิในการแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรีในทุกๆ เรื่องที่มีผลกระทบต่อตัวเอง สิทธิในการแสดงออกและได้รับข้อมูลข่าวสาร รวมถึงทัศนะของเด็กจะต้องมีการให้ความสำคัญอย่างเหมาะสม

 

สิทธิที่ถูกละเมิด…เสียงเล็กๆ ที่ถูกลืม

             สำหรับเรื่องของสิทธิเด็กและเยาวชนนั้น นายฉัตรชัย เชื้อรามัญ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานเด็กและเยาวชนสร้างสรรค์, สำนักข่าวเด็กและเยาวชน ขบวนการตาสับปะรดได้พูดถึงนี้ว่า  คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยคิดว่าการที่ทุบตีบุตรนั้นไม่เป็นความผิดเพราะตนเป็นผู้ดูแลบุตร ซึ่งหากเป็นการตีเพื่อสั่งสอนก็จะไม่ผิดอย่างใด แต่การทารุนหรือทุบตีทำร้ายร่างกายอย่างสาหัสนั้น ถึงจะเป็นการกระทำโดยบิดามารดาหรือผู้ปกครองก็ถือเป็นการละเมิดต่อเด็กทั้งสิ้น

 

             เด็กและเยาวชนไทยตกเป็นเหยื่อการกระทำของผู้ใหญ่แทบทุกประเภท ทั้งทางด้าน เพศ เทคโนโลยี หรือของมอมเมาที่มาในรูปแบบโฆษณาแฝงต่างๆ จึงกลายเป็นปัญหาต่อเนื่องที่ทำให้เด็กหันมาทำร้ายกันเอง ในขณะที่มาตราการควบคุมปัญหาที่ต้นเหตุนั้น หน่วยงานเกี่ยวข้องกลับมีน้อยมาก หรือไม่มีเลย เพราะถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ เลยไม่มีใครคำนึงถึง จึงได้เกิดปัญหามากมายเช่นทุกวันนี้ !!!

 

             นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก ได้บอกถึงพันธะกิจของไทยในการเป็นรัฐภาคีตาม อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ว่า รัฐบาลและภาคีที่เกี่ยวข้องนั้นไม่มีการดำเนินงานอย่างจริงจัง เพราะหลายฝ่ายจะมองว่าเป็นปัญหาเล็กๆ จึงเพิ่งเฉย แต่อยากเตือนไว้ว่าอย่าได้มองข้ามปัญหาเด็กที่เกิดขึ้นโดยเด็ดขาดเพราะเรื่องที่มักถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็กนี่แหละสามารถเปลี่ยนเป็น ต้นลม ที่สามารถทำให้เกิด ไฟปัญหา ใหญ่ๆ ได้หลายๆ ด้าน

 

             จุดนี้ นายสถาพร สกุณี อายุ17 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย บอกว่า ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงต่างก็เรียกร้องสิทธิให้กับตัวเองกันทั้งนั้น แต่กลับปล่อยปะละเลยสิทธิของเด็กและเยาวชนจนทำให้เกิดปัญหาตามมาอย่างไม่รู้จบ หากฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังนิ่งเฉยไม่ให้ความสำคัญเด็กเหล่านี้จะเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่มีคุณภาพในสังคมได้อย่างไร

 

             เป็นที่น่าตกใจว่า!!! ข้อมูลของกรมประชาสงเคราะห์ ปี 2550 พบว่าเด็กที่อยู่ในอายุ 114 ปี ประมาณ 6 ล้านคนอยู่ในครอบครัวที่ยากจน เด็กถูกทอดทิ้งมีจำนวนมากกว่าแสนคน เด็กกำพร้ามีจำนวนประมาณ 350,000 คน เด็กเร่ร่อน มีประมาณ 370,000 คน เด็กพิการทางกาย หรือทางจิตกว่า 400,000 คน เด็กชนเผ่าที่เป็นกลุ่มคนชายขอบกว่า 200,000 คน

 

             นางสาวอังคณา เพ็งชาติ อายุ 19 ปีนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า การป้องการการถูกละเมิดสิทธิของเด็กนั้นทางที่ดีที่สุดคือ การวางแผนครอบครัว และวางอนาคตให้แก่เด็ก ว่าเขาจะเติบโตและมีโอกาสพัฒนาตนเองได้อย่างไร จะมีหลักประกันและความมั่นคงในการดำเนินชีวิตอย่างไร ล้วนเป็นสิ่งพ่อแม่จำเป็นต้องคิดและพูดคุยกับเด็ก เด็กจึงจะมีการพัฒนาอย่างมีทิศทาง

 

              เพราะเด็กอายุประมาณ 12-13 ปี ถือเป็นช่วงที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะการพัฒนาสมองส่วนหน้าซึ่งทำหน้าที่คิดวางแผน ใช้เหตุผล ใคร่ครวญไตร่ตรองยับยั้งตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้เด็กจึงต้องมีความคิดเป็นของตนเอง ต้องตัดสิน วินิจฉัยปัญหา โดยมีผู้ใหญ่คอยเสนอแนะให้ความเห็นหรือให้ข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆ ประกอบการวินิจฉัยของเด็กด้วยเหตุและผล 

 

             ต่อไปอนาคตของชาติจะเป็นอย่างไร คำตอบนั้นย่อมอยู่ที่ความรับผิดชอบของสังคมและคนรอบข้าง แน่นอนว่าการป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ดีกว่าการปล่อยให้เกิดปัญหาแล้วจึงแก้ไข แต่หากรัฐบาลมีนโยบายที่จะเอาจริงเอาจังออกมาใช้ รวมทั้ง องค์กรต่างๆ ต้องออกมาช่วยรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของปัญหา การมีมาตรการเฝ้าระวังที่เข้มแข็งน่าจะช่วยป้องกันปัญหาในระยะยาวได้อย่างแน่นอน

 

             เด็กและเยาวชนก็เปรียบเหมือนผ้าขาวที่รอคอยผู้คนมาเติมแต่งให้เกิดสีสัน สีนั้นจะออกมาสวยงามหรือเลอะเทอะก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่อุปโลคตนเป็นศิลปินจะบรรจงสร้างออกมา

 

 

 

 

 

 

 


 

 

Shares:
QR Code :
QR Code