สำรวจพบวัยรุ่นนิยมบอกรักผ่าน SMS
เชื่อไอทีทำให้เสียตัวได้
เผยผลสำรวจวัยรุ่นไทย 1 ใน 6 รับติดไอที นิยมใช้ sms บอกรัก เชื่อเป็นแฟนกันง่ายขึ้น ไอทีมีผลทำให้มีเซ็กซ์ได้ ดึงไอดอล ดารา คนดัง ส่ง sms วาเลนไทน์ ชวนรักสร้างสรรค์
เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ พญ.ณัฏฐิณี ชินะจิตพันธุ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นสถาบันสุขภาพจิตและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวว่า ได้ทำการสำรวจเรื่อง รู้ใจวัยรุ่นไทยสื่อรักวาเลนไทน์ 2010 ในวัยรุ่นชายและหญิง จำนวน 1,320 คน ตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมต้น-มหาวิทยาลัย จาก 10 สถาบัน ระหว่างวันที่ 5-12 ม.ค. โดยจากการสอบถามเรื่องสื่อที่ใช้ในวันวาเลนไทน์ พบว่า มีการส่งข้อความสั้น(sms) ร้อยละ 61.8 บอกตรงๆ ร้อยละ 52.3 ไฮไฟท์ ร้อยละ 42 โปรแกรมเอ็มเอสเอ็น ร้อยละ 37.7 อีเมล์(e-mail) ร้อยละ 32 สังคมออนไลน์เฟซบุ๊ค ร้อยละ 15.1 จดหมาย ไปรษณีย์บัตร ร้อยละ 9.6 เอ็มเอ็มเอส ร้อยละ 8.8 บอกรักผ่านวิทยุ ร้อยละ 3.9
พญ.ณัฏฐิณี กล่าวต่อว่า จากการสอบถามพบว่า ร้อยละ 51.4 รู้สึกความประทับใจจากการได้ข้อความบอกรัก และร้อยละ 60.5 หรือ วัยรุ่น 1 ใน 6 ยอมรับว่าติดไอที โดยร้อยละ 72.6 ยอมให้ผู้ปกครองดูภาพจากโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ไอทีต่างๆได้ เพราะคิดว่าบริสุทธิ์ใจ ไม่ปิดบัง เมื่อถามถึงความเสี่ยงด้านความรักและความสัมพันธ์ที่มาจากเครื่องมือสื่อสารต่างๆ พบว่า วัยรุ่นส่วนใหญ่เชื่อว่าเครื่องมือเหล่านี้ทำให้เป็นแฟน หรือ คบกันได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสพูดคุย รักกันง่ายขึ้น โดยวัยรุ่นชายเห็นว่าจริง ร้อยละ 68 วัยรุ่นหญิงร้อยละ 72.1 โดยวัยรุ่นที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าวมีเพียงร้อยละ 8.5 เท่านั้น
“เมื่อถามว่า เชื่อหรือไม่ว่าระบบไอทีทำให้เกิดการมีเพศสัมพันธ์ได้ วัยรุ่นชายร้อยละ 76.5 และวัยรุ่นหญิงร้อยละ 70.3 รวมแล้วเท่ากับร้อยละ 72.5 เชื่อว่าเป็นไปได้ ส่วนวัยรุ่นที่ไม่เชื่อรวมแล้วมีเพียงร้อยละ 27.5 โดยแยกเป็นชายไม่เชื่อ ร้อยละ 23.5 หญิงที่ไม่เชื่อร้อยละ 29.7 ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้วัยรุ่นโดยเฉพาะเพศหญิงมีความระมัดระวังในการคบเพื่อนหรือพูดคุยกับเพื่อนผ่านระบบสื่อสารต่างๆ ส่วนกลุ่มที่ไม่เชื่อได้ให้ความเห็นว่า คิดว่าเพื่อนจะมีวิจารณญาณและไม่ทำเรื่องดังกล่าว”พญ.ณัฏฐิณี กล่าว
พญ.ณัฏฐิณี กล่าวต่อว่า เมื่อถามถึงพฤติกรรมด้านการรับและส่งสื่อทางเพศ พบว่า วัยรุ่นส่วนใหญ่ได้รับเนื้อหาข้อความทางเพศที่ส่งผ่านไอทีมีตั้งแต่ได้รับบ่อยมากถึงไม่เคยได้รับ แบ่งเป็นกลุ่มที่ตอบว่าได้รับบ่อยมาก วัยรุ่นชายร้อยละ 5.4 วัยรุ่นหญิงร้อยละ 1.9 กลุ่มที่ได้รับค่อนข้างบ่อย วัยรุ่นชายร้อยละ 6.3 วัยรุ่นหญิงร้อยละ 3.3 เคยได้รับบางครั้ง วัยรุ่นชายร้อยละ 12.8 วัยรุ่นหญิงร้อยละ 5.5 เคยได้รับนานๆครั้ง วัยรุ่นชายร้อยละ 41.7 วัยรุ่นหญิงร้อยละ 41.3 และไม่เคยได้รับเลย วัยรุ่นชายร้อยละ 33.7 วัยรุ่นหญิงร้อยละ 48.1 โดยพบว่าเมื่อได้สื่อด้านเพศแล้ว วัยรุ่นชายร้อยละ 19.1 วัยรุ่นหญิง ร้อยละ 12.8 ดูแล้วส่งต่อ และวัยรุ่นชายร้อยละ 55 วัยรุ่นหญิงร้อยละ 55.6 ดูแล้วลบทิ้ง
“ที่สำคัญ เมื่อได้รับสื่อที่มีเนื้อหาทางเพศ คิดว่ามีอิทธิพลต่ออารมณ์ทางเพศหรือไม่ พบว่า วัยรุ่นชายส่วนใหญ่ร้อยละ 50.2 คิดว่ามีผลปานกลาง และอีกร้อยละ 17 คิดว่ามีอิทธิพลมากถึงมากที่สุด ส่วนวัยรุ่นหญิงส่วนใหญ่ร้อยละ 50.1 คิดว่ามีผลน้อยที่สุด ซึ่งแนวคิดของเพศชายและหญิง ที่สวนทางกันเป็นเรื่องปกติ แต่หากมีการส่งต่อสื่อที่มีเนื้อหาเรื่องเพศระหว่างชายหญิง อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ เพราะวัยรุ่นชายอาจคิดว่าเพศหญิงรู้สึกดูแล้วกระตุ้นอารมณ์ทางเพศเหมือนตัวเองทำให้วัยรุ่นหญิงจะเสี่ยงในการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรได้”พญ.ณัฏฐิณี
พญ.ณัฏฐิณี กล่าวว่า วัยรุ่นเป็นวัยอยากรู้ อยากลอง ทำให้บางครั้งทำบางอย่างไปโดยไม่ยั้งคิด หากได้รับการดูแลจากผู้ปกครองก็ทำให้เกิดความเข้มแข็งขึ้นได้ แต่บางกลุ่มที่ไม่ได้รับการดูแลใกล้ชิดก็อาจหลงไปตามกระแสได้ ฉะนั้นพ่อแม่ควรเท่าทันลูก แต่หากไม่สามารถใช้เครื่องมือไอทีได้ ก็สามารถใช้การสื่อสารทางอื่น เช่น พูดคุย เป็นที่ปรึกษา ทำให้ลูกรู้สึกไว้ใจและรู้สึกถึงความรัก จะทำให้เด็กไม่ต้องแสวงหาความรักจากคนนอกบ้าน
พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นสถาบันสุขภาพจิตและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวว่า การที่เด็กและวัยรุ่นได้รับสื่อต่างๆจำนวนมาก ในหลายช่องทางเหมือนปัจจุบัน หากเป็นสื่อที่มีความรุนแรง มีเนื้อหาด้านเพศ เมื่อเห็นบ่อยๆก็จะเกิดความเคยชิน และเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดายอมรับได้สิ่งที่เกิดขึ้นได้ และหากเด็กไม่มีภูมิคุ้มกันที่เพียงพอก็จะนำสิ่งที่เห็นไปปฏิบัติตาม ซึ่งครอบครัวต้องมีส่วนร่วมช่วยเหลือให้คำแนะนำเพื่อให้เด็กสามารถเรียนรู้และแยกแยะได้ว่าเรื่องไหนควรทำไม่ควรทำ
“การทะเลาะวิวาท หรือความรุนแรงในการแก้ปัญหาในวัยรุ่นมีมาเป็นเวลานานแล้วไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เครื่องมือไอทีต่างๆ เป็นสื่อที่ขยายความรุนแรงนั้นๆ ให้เห็นชัดขึ้นเป็นการใช้การสื่อสารอย่างผิดทาง จำเป็นต้องให้คำแนะนำและดูแลไม่ให้เด็กเห็นเป็นเรื่องปกติที่สามารถใช้วิธีดังกล่าวตัดสินปัญหาตาม หากปล่อยให้เด็กเรียนรู้เอง คือการปล่อยให้เด็กอยู่บนความเสี่ยงและผลักเข้าไปสู่ปัญหา”พญ.วิมลรัตน์ กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวว่า การสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กถือเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันโดยเฉพาะครอบครัว ซึ่งโครงการต่อจากนี้จะมีการทำกิจกรรมรณรงค์ “ฉลาดรักยกกำลังสาม” รู้ใจ ไหวทัน ป้องกันได้ โดยเชื่อว่าอิทธิพลไอทีมีผลต่อเด็กอย่างมาก ทั้งเรื่องส่วนตัว การเรียน ครอบครัวและสังคม จำเป็นต้องสร้างความเข้าใจเพื่อใช้ป้องกันปัญหา ซึ่งจะมีการใช้ดารา นักแสดง และบุคคลที่เป็นแบบอย่าง เช่น แพนเค้ก เขมนิจ จามิกร เวียร์ ศุกลวัฒน์ รศ.สุนีย์ สิทธุเดชะ โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ฯลฯ มาช่วยรณรงค์สื่อรักสร้างสรรค์
ที่มา: หนังสือพิมพ์ astvผู้จัดการ
update:03-02-53
อัพเดทเนื้อหาโดย: