‘สันหนองล้อม’อยู่เย็น คนเป็นสุข ฟื้นจารีตล้านนาสร้างคุณค่าชุมชน
บ้านสันหนองล้อม หมู่ที่ 6 ต.ป่าก่อดำ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย เดิมชื่อหมู่บ้านสันต้นปุย ม.24 ต.บัวสลี อ.เมือง จ.เชียงราย เป็นชุมชนดั้งเดิมมีอายุกว่า 200 ปี มีประชากร 364 คน จำนวน 76 ครัวเรือน ส่วนใหญ่ร้อยละ 90% ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ โดยยังคงรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิม พึ่งพาอาศัยกันสืบทอดมาแต่บรรพบุรุษ
ทว่าช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา วิถีชีวิตชาวบ้านได้เปลี่ยนแปลงไปทั้งการสื่อสาร ที่รวดเร็ว การทำเกษตรเชิงธุรกิจเพื่อให้ได้ผลผลิตจำนวนมาก จึงทำให้ชุมชนบ้านสันหนองล้อมมีทั้งภาระหนี้สิน การใช้สินค้าฟุ่มเฟือย การใช้สารเคมีทางการเกษตรจำนวนมากและเพิ่มมากขึ้นทุกปี ความสะดวกสบายเข้ามาแทนที่ วิถีชีวิต ประเพณีและวัฒนธรรม ได้เริ่มหายไปจากชุมชน พร้อมๆ กับคนเฒ่าคนแก่ถูกลดบทบาท ลงไปในเวทีชุมชน ปัญหาเริ่มก่อตัวขึ้นมาอย่าง รวดเร็วตามกระแสบริโภคนิยมของชุมชน
ดังจะเห็นได้จากการมีเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอำนวยความสะดวก ตลอดจนความทันสมัย โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือที่มีมากถึง 124 เครื่อง ค่าใช้จ่ายสูงถึง 66,800 บาทต่อปี ยังไม่รวมถึงปัญหาการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย 847,169 บาท การใช้สารเคมีทางการเกษตร 172,096 บาทต่อปี ปัญหาหนี้สินทั้งในระบบและนอกระบบ ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตจนส่งผลต่อรากฐานวิถีชีวิตและวัฒนธรรมประเพณีของชาวบ้าน
ด้วยเหตุนี้ คณะกรรมการชุมชน ชาวบ้าน และแกนนำชุมชน ได้เล็งเห็นสภาพปัญหา หากปล่อยให้เนิ่นนานก็อาจจะยากต่อการเยียวยา ดังนั้นจึงต้องการที่จะอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิตที่ดีงามไว้เพื่อให้ลูกหลานได้ศึกษาเรียนรู้
โดยได้มีการประชุมประชาคมเพื่อ สร้างสรรค์กิจกรรมที่จะนำวิถีดั้งเดิมกลับมาอีกครั้งหนึ่งและสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนบ้านหนองล้อม เป็นชุมชนที่พัฒนาอย่างยั่งยืน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ร่วมขับเคลื่อนภายใต้ “โครงการบ้านอยู่เย็น คนเป็นสุข”
นายสุริยัน ตื้อยศ แกนนำชุมชน เล่าว่า กิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้น เพื่อลดหนี้สิน ลดค่าใช้จ่าย ด้านปุ๋ยเคมี ลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยด้านค่าโทรศัพท์ มือถือให้กับคนในชุมชนสันหนองล้อม และต้องการพัฒนาเป็นชุมชนสู่การพึ่งพาตนเองได้อย่างมีความสุขตามแนวพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โดยเราจะเน้นสร้างจิตอาสากลุ่มคน 3 วัย คือ กลุ่มเด็กและเยาวชน กลุ่มแม่บ้าน และกลุ่มผู้สูงอายุ ให้มีส่วนร่วมของชุมชน ในการอนุรักษ์วิถีชีวิต และวัฒนธรรมประเพณีตลอดจนสิ่งแวดล้อมของชุมชน
“หลังจากเริ่มทำโครงการแล้ว คนในชุมชนมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น และนำความรู้ที่ได้รับจากการอบรมเชิงปฏิบัติการไปปรับใช้เพื่อแก้วิกฤติหนี้สินในครัวเรือน เช่น กิจกรรมการรณรงค์เผยแพร่ข้อมูลการลดใช้โทรศัพท์มือถือที่ก่อให้เกิดค่าใช้จ่าย โดยนำหลักการทำบัญชี ครัวเรือนมาบันทึก การอบรมทำปุ๋ยหมัก น้ำหมัก em เพื่อลดค่าใช้จ่าย เคมีภัณฑ์ และร่วมกันสืบชะตาแม่น้ำลำคลอง อนุรักษ์ประเพณียี่เป็ง กิจกรรมส่งเสริมประเพณีรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ” นายสุริยัน กล่าว
นอกจากกิจกรรมต่างๆ แล้ว ชาวบ้านสันหนองล้อมยังได้ ช่วยกันเนรมิตพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ ข้างอ่างเก็บน้ำใกล้หมู่บ้านให้เป็น “แปลงนาสาธิต” หรือ “นาส่วนร่วม” เพื่อทำนาเกษตรอินทรีย์ให้ ชาวบ้านเห็นตัวอย่าง เช่นเดียวกับเนื้อที่กว่า 5 ไร่ กลางหมู่บ้าน ถูกผุดเป็นศูนย์การชุมชนสันหนองล้อม โดยมีกลุ่ม 30 ครัวเรือน เป็นแกนนำ ภายในถูกจัดสรรพื้นที่ให้ชาวบ้านได้เรียนรู้สู่การพึ่งพาตนเอง เช่น แปลงผักและผลไม้ หน่อไม้ กล้วย การเลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ การทำปุ๋ยหมัก ซึ่งการทำปุ๋ยหมักจะทำ 5 ตันต่อปี เพื่อนำไปแจกจ่ายชาวชุมชนและส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ที่แปลงนาสาธิต
“สิ่งที่ดำเนินงานนอกจากจะเป็นการนำแนวคิดเศรษฐกิจ พอเพียงมาใช้แล้ว ยังเสริมด้วยกิจกรรมฟื้นฟูวิถีวัฒนธรรมพื้นเมืองให้ได้มากที่สุด ผ่านคำแนะนำจากพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย เพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีสู่คนรุ่นใหม่ ให้เด็กในวัย 5-10 ขวบ ได้เรียนรู้และลงมือ ทำนาร่วมกับผู้ใหญ่ เริ่มตั้งแต่การบวงสรวงพระแม่โพสพ หรือที่ทาง ล้านนาเรียกว่า “ประเพณีฮ้องขวัญข้าว” โดยตั้งใจว่าจะคงประเพณีดั้งเดิมทุกอย่างตั้งแต่ปลูกไปจนถึงเก็บเกี่ยว” เมืองใจ อิ่นคำ ผู้ใหญ่บ้าน สันหนองล้อม เล่า
การที่เราจะไปบอกเขาว่า ทำนาปลอดสารพิษดีอย่างโน้นอย่างนี้ ชาวบ้านก็ไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ ต้องใช้วิธีทำให้เห็นจริงได้ผลจริงก่อน เปรียบเทียบกันให้เห็นเลยว่านาที่ปลูกด้วยสารเคมีนั้นสิ้นเปลืองมีต้นทุนแค่ไหน
ด้านนายประยูร อองกุลนะ กรรมการบริหารสำนักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม สสส. กล่าวว่า บ้านสันหนองล้อมมีแนวคิดที่มุ่งเรื่องจิตสำนึกชุมชน ซึ่งต้องการให้ชาวชุมชนได้เข้าใจจิตใจ และวัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิตของตนเอง โดยใช้แปลงนาเป็นตัวเชื่อม มีกลุ่ม 30 ครัวเรือน มาเป็นแกนนำ เป็นแบบอย่างทำปุ๋ยหมักเพื่อนำมาแก้ปัญหาสารเคมี
บ้านสันหนองล้อมได้นำเอาภูมิปัญญา มาเป็นกุศโลบายที่ให้ชาวบ้านได้มีกิจกรรมร่วมกัน มีการพบปะพูดคุยกัน เชื่อมร้อยความสัมพันธ์คนในชุมชนให้เข้มแข็ง ที่สำคัญ คือ ได้มีการพยายามรักษา ศิลปวัฒนธรรมและประเพณี โดยการถ่ายทอด ไปยังเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเด็กที่มาร่วมกิจกรรมนั้นจะมีอายุน้อยตั้งแต่ 5 ขวบขึ้นไป ซึ่งจะเป็นการปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนได้รู้จักภูมิใจในวัฒนธรรมประเพณี และวิถีชีวิตของชุมชนอย่างแท้จริง ฉะนั้นเด็กในวัย 5-10 ขวบ จะเป็นอนาคตของชาวบ้านสันหนองล้อม ชุมชนจะเดินไปในทิศทางใดก็ขึ้นอยู่กับเด็กกลุ่มนี้
บ้านสันหนองล้อม ถือได้ว่าเป็นหมู่บ้านแบบอย่างที่ได้นำเอาจารีตและวัฒนธรรมประเพณีมาเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ ทำให้คนในชุมชนได้หันหน้า มาคุยกัน ร่วมกันกำหนดทิศทางของชุมชน ทำให้ชุมชนแนบแน่น นำมาซึ่งความยั่งยืนต่อไป
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า