สอนเรื่องเพศอย่างไร เรียกว่า “รอบด้าน”
“สอนเรื่องเพศอย่างรอบด้าน”เป็นคำพูดที่ได้ยินได้ฟังกันบ่อยมากในวงการเพศวิถีศึกษา อาตมาไม่แน่ใจว่าคุณครูที่สอนวิชาเพศศึกษาแต่ละท่านนิยามคำว่า ‘สอนเรื่องเพศอย่างรอบด้าน’ ว่าอย่างไรกันบ้าง หรือแต่ละท่านมีความเข้าใจคำๆ นี้อย่างไรกันบ้าง สอนให้รู้ไปหมดทุกอย่างหรือสอนให้รู้จักการมีเพศสัมพันธ์หลายๆ แบบ?
ตามความเข้าใจของอาตมา เข้าใจว่าการสอนเรื่องเพศอย่างรอบด้านน่าจะมีความหมาย 3 อย่างประกอบกัน คือ หลีกเลี่ยง ป้องกัน แก้ไข ซึ่งสามารถอธิบายให้สั้นๆ ได้ใจความว่า
สอนเด็กให้หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์
ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็สอนให้รู้จักการป้องกัน
ถ้าสอนให้ป้องกันแล้วยังพลาดพลั้ง ก็ต้องสอนให้รู้จักวิธีการแก้ไข
การสอนเรื่องเพศในสมัยก่อนมักจะมีการ “กั๊ก” ไว้แล้วสอนแต่เพียงด้านเดียวคือ สอนให้เด็กหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ด้วยการนำด้านมืดๆ น่ากลัวๆ เกี่ยวกับเรื่องเพศมาสอน เช่น เปิดหนังวิดีทัศน์การทำแท้งให้เด็กดูว่าน่าสยดสยองเพียงใด เด็กๆ ดูแล้วจะได้ไม่กล้าแม้แต่จะริรักในวัยเรียนเพื่อจะได้ไม่นำไปสู่เหตุการณ์สยดสยองเหมือนในหนัง
หลังจากดูหนังการทำแท้งจบเชื่อว่าเด็กผู้หญิงหลายคนคงผมร่วงกันไปหลายเส้นเพราะภาพเหล่านี้สามารถทำให้เด็กหวาดกลัวการมีเพศสัมพันธ์ได้ชะงัด ซึ่งก็ได้ผลเพราะเด็กจะหวาดกลัวการมีเพศสัมพันธ์ไปเลยเนื่องจากการรับรู้ของเด็กจะเข้าใจว่าผลลัพธ์จากการมีเพศสัมพันธ์คือการตั้งท้องแล้วต้องไปทำแท้งเป็นทางออกทางเดียว หากไม่ทำแท้งก็ต้องลาออกจากโรงเรียนไปเลี้ยงลูก ไม่สามารถกลับเข้าไปเรียนหนังสือได้อีก และยังมีอะไรตามมาอีกเยอะแยะ
ในทางจิตวิทยาถือว่าวิธีการสอนแบบนี้มีผลกระทบด้านสุขภาพจิตและทัศนคติของเด็กต่อเรื่องเพศมากมายมหาศาลทีเดียว เนื่องจากเป็นการปลูกฝังภาพด้านลบของการมีเพศสัมพันธ์ซึ่งมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเด็กไปจนโต เมื่อเด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ต่อต้านเรื่องเพศอย่างรุนแรง ถ้าพบใครตั้งท้องในวัยเรียนก็จะรู้สึกรังเกียจและประณามโดยไม่ฟังต้นสายปลายเหตุ ทำให้ไม่เป็นผลดีแก่ความเข้าใจเรื่องเพศกับตัวเด็กเองและกับสังคม เมื่อเด็กโตขึ้นแต่งงานมีครอบครัวก็ยังมีผลด้านจิตใจเมื่อมีเพศสัมพันธ์ก็ยังรู้สึกเป็นเรื่องสกปรก กลายเป็นทัศคติด้านลบที่แก้ไขได้ยากซึ่งก็มีอยู่จริง
การสอนเรื่องเพศเพียงมิติเดียวแบบในอดีตจึงมีข้อด้อยหลายประการ เราสอนเด็กให้หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนได้ก็จริง แต่ส่งผลกระทบด้านลึกที่มีต่อบุคลิกภาพและวิธีคิดของเด็กๆ ต่อเรื่องเพศเป็นองค์รวม
การสอนเรื่องเพศเพียงด้านเดียวยังถูกสนับสนุนด้วยสำนวนต่างๆ เช่น ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร เป็นหญิงต้องรักนวลสงวนตัว โดยทั้งคนสอนและคนที่ถูกสอนต่างก็ไม่รู้ว่ากำลังตกเข้าไปอยู่ในวังวนของความเข้าใจเรื่องเพศเพียงมุมมองเดียว ทั้งๆ ที่เรื่องเพศมีหลายมิติที่เราสามารถเรียนรู้ทำความเข้าใจได้
ถ้าเป็นสมัยก่อนการสอนด้วยสำนวนดังกล่าวและการเปิดหนังทำแท้งให้ดูก็ยังใช้ได้ผล แต่ถ้าเป็นสมัยนี้ไม่แน่ใจว่าการสอนด้วยสำนวนคำพูดเดิมๆ หรือเปิดหนังทำแท้งจะได้ผลเพราะปัจจุบันพฤติกรรมของเด็ก ๆ ไปไกลเกินกว่าสำนวนและหนังเหล่านั้นจะเอาอยู่
เนื่องจากปัจจุบันอุปกรณ์อีเล็คทรอนิกส์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊ค อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ ไอพ็อด ไอแพ็ด แท็บเล็ต แผ่น DVD ที่หาง่าย เหล่านี้มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตและพฤติกรรมทางเพศของคนอย่างมาก เราต้องยอมรับว่าเด็กไม่ได้อยู่กับเรา 24 ชั่วโมง เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเด็กทำอะไรกันบ้างเมื่อคลาดสายตาจากเราไป การสอนเรื่องเพศแบบเดิมอาจเป็นวิธีการที่ไม่เท่าทันกับสถานการณ์ของสังคมที่เปลี่ยนไปแล้ว
ถึงอย่างนั้นการสอนเรื่องเพศอย่างรอบด้านก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เช่น เราสอนให้เด็กหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ใช้ถุงยางอนามัยแทนการ “นับวัน”หรือ “แตกนอก”ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดคิดว่าวิธีการดังกล่าวปลอดภัย
การสอนให้รู้จักใช้ถุงยางอนามัยก็ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก เช่น ไม่ใส่ถุงกลับด้าน หรือไม่ใส่ถุงยางซ้อนสองอัน (บางคนกลัวจัดใส่สองอันเลยก็มี) ไม่ใช้ถุงยางซ้ำซึ่งเป็นการใช้ถุงยางอย่างผิดๆ ฯลฯ
กรณีการใช้ยาคุมกำเนิด การกินยาคุมก็มีรายละเอียดของมัน เช่น ไม่กินย้อนศร หรือถ้าลืมกินไปเพียงวันเดียวก็ป้องกันการตั้งครรภ์ไม่ได้ ถ้าหันไปใช้ยาคุมฉุกเฉินก็มีผลกับสุขภาพของผู้ใช้เพราะยาคุมฉุกเฉินมีฤทธิ์ยาที่รุนแรง ฯลฯ
หรือถ้าเด็กตั้งท้องแล้วจะมีทางเลือกอะไรให้เด็กบ้าง หากเด็กต้องการเก็บลูกไว้แต่ไม่อยากให้ที่บ้านและโรงเรียนรู้จะไปหาองค์กรไหนช่วยเหลือได้บ้าง หรือถ้าเด็กไม่คิดที่จะเลี้ยงลูกเราจะมีทางออกอย่างไร ทั้งหมดเหล่านี้คือบูรณาการการสอนเรื่องเพศอย่างรอบด้าน ซึ่งจะเห็นได้ว่าการสอนเรื่องเพศอย่างรอบด้านไม่ง่ายอย่างที่คิด คุณครูเองก็ต้องสละเวลาไปเรียนรู้ในรายละเอียดของวีธีการหลีกเลี่ยง-ป้องกัน-แก้ไขในแต่ละวิธีเพื่อนำมาสอนให้เด็กได้เรียนรู้เพื่อความปลอดภัยอย่างรอบด้านเช่นกัน
ถามว่าทำไมคุณครูต้องเรียนรู้เพื่อเอามาสอนเด็กด้วยล่ะเรื่องพรรค์นี้ คำตอบก็คือถ้าคุณครูมีความรู้ไม่เท่าทันสถานการณ์และไม่เท่าทันนักเรียน วิชาเพศศึกษาที่ครูสอนก็ไม่มีความหมายเพราะเรื่องเพศเป็นองค์ความรู้ที่ไม่หยุดอยู่กับที่ พฤติกรรมและทัศนคติของคนต่อเรื่องเพศมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา การเป็นครูสอนวิชาเพศศึกษาที่ดีและเก่งก็คือต้องเป็นครูที่เท่าทันกับพฤติกรรมของเด็ก ถ้าเราไม่เท่าทันเด็กเราจะไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือเด็กได้เลย คุณครูจะรู้สึกอย่างไรหากคุณครูสอนอยู่หน้าห้อง แต่เด็กๆ คิดในใจว่า “สิ่งที่คุณครูสอน หนู / ผมรู้มากกว่าคุณครูเสียอีก”
การสอนเพศศึกษาอย่างรอบด้านอย่างที่บางคนคิดว่าเป็นการ “ชี้โพรงให้กระรอก”นั้น เมื่อมาถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่าในที่สุดแล้วโพรงที่เราชี้ให้เด็กเรียนรู้นั้นก็มิใช่ว่าจะเข้าไปง่ายๆ ในโพรงยังมีอันตรายมากมายแฝงอยู่ กระรอกแต่ละตัวที่จะเข้าไปก็ต้องฝึกให้มี “สติปัญญา” ดีพอ โพรงที่เรานำมาสอนเด็กๆ เป็นโพรงที่มีอยู่ในโลกของความเป็นจริง เด็กๆ จะตกอยู่ในอันตรายแค่ไหนหากชีวิตจริงเขาไปเจอโพรงแล้วไม่รู้มาก่อนว่าเขาจะต้องไปเจออะไรในโพรงบ้าง
การสอนเพศศึกษาอย่าง “รอบด้าน”อย่างที่อาตมากำลังพูดถึงในบทความนี้ จริง ๆ แล้วก็ยังไม่รอบด้านนะ โปรดสังเกตว่าเป็นการพูดถึงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเด็กหญิงกับเด็กชายเท่านั้น ในโลกของความเป็นจริง เด็กๆ เค๊ามีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันด้วย ทั้งเด็กหญิงกับเด็กหญิงด้วยกัน และเด็กชายกับเด็กชายด้วยกัน หรือเด็กชายกับเด็กที่เป็นกะเทย
การสอนเพศศึกษาอย่างรอบด้านจึงไม่ใช่แค่สอนให้ หลีกเลี่ยง-ป้องกัน-แก้ไข เพียงอย่างเดียว แต่คือการสอนเด็ก ๆ ให้เข้าใจวิถีชีวิตทางเพศที่หลากหลายของมนุษย์ด้วย ทั้งนี้ไม่ใช่เพื่อแนะนำให้เขาไปทำอย่างที่เราสอน แต่สอนให้เขา ‘รู้จัก-เข้าใจ-ยอมรับ’ บุคคลอื่นที่มีวิถีชีวิตทางเพศที่แตกต่างไปจากเรา ซึ่งเราจะพูดถึงประเด็นเหล่านี้ในบทต่อๆ ไป
ที่มา : เว็บไซต์ชุมชนแห่งการเรียนรู้เพศศึกษา โดยพระวรธรรม
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต