สอนลูกด้วยใจ และ ให้เวลา

สัญชาตญาณของความเป็นแม่บวกกับเปิดตำราเลี้ยงลูก

 

          เมื่อเร็วๆ นี้ ลูกถามว่าถ้าหม่าม้าเป็นนายก จะทำอะไร ก็บอกเขาว่าจะให้ผู้หญิงที่ลูกยังเล็กห้ามทำงาน เป็นการแก้ปัญหายาเสพติดระยะยาว จันทร์ขจร ลาภบุญทรัพย์หรือ คุณยุ้ย คุณแม่ของลูกชายและลูกสาว 3 คน เล่าถึงทัศนคติของเธอต่อการเลี้ยงดูลูก ซึ่งต้องเริ่มต้นที่การดูแลเอาใจใส่ลูกด้วยตัวเองอย่างจริงจัง ตั้งแต่วัยเยาว์ เป็นประสบการณ์ตรงที่เธอได้สัมผัสและทุกวันนี้ก็ได้เก็บเกี่ยวดอกผลที่น่าภาคภูมิใจ

 

สอนลูกด้วยใจ และ ให้เวลา

          ครอบครัวเล็กๆ ของ คุณยุ้ย ประกอบไปด้วยสามี-คุณวรานนท์ ลาภบุญทรัพย์ เจ้าของบริษัทยาดมตราโป๊ยเซียน และลูกๆ 3 คน คนโตชื่อ เด็กชายณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์ หรือน้องต้นคูณ ที่เคยได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นเด็กอัจฉริยะที่มีความรู้แตกฉานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยและวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก เคยร่วมแข่งขันรายการแฟนพันธุ์แท้เรื่องสามก๊กมาแล้ว นอกจากนี้น้องต้นคูณยังได้รับรางวัลรองชนะเลิศเหรียญเงินในการแข่งขันประวัติศาสตร์เพชรยอดมงกุฎ ครั้งที่ 1 ส่วนบุคคลสาวคนที่สองชื่อ ด.ญ.ธนพร (พวกหยก) และคนเล็กชื่อ ด.ญ.บุญนารี (ทับทิม)

 

          ลูกๆ ของ คุณยุ้ย ทุกคนเป็นเด็กมีสัมมาคารวะ มารยาทดี และที่สำคัญที่สุดเป็นเด็กที่ยิ้มแย้มแจ่มใสและมีความสุข

 

          การเลี้ยงลูกให้เติบโตอย่างมีคุณภาพนั้น คุณพ่อคุณแม่แต่ละคนมีเทคนิควิธีการที่แตกต่างกันไป สำหรับ คุณยุ้ย เธอถ่อมตัวว่าเป็นเพียงคุณแม่ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง เทคนิควิธีการ สอนลูกด้วยใจ ของเธอมีความน่าสนใจมาก เพราะเคล็ดลับวิธีการที่ได้มาทั้งหมดการเป็นเรียนรู้จากหัวใจของความเป็นแม่อย่างแท้จริง

 

          หลังจากจบการศึกษาที่คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ คุณยุ้ยสมรสกับคุณวรานนท์ และมีลูกชายคนแรกคือน้องต้นคูณ หลังจากคลอดลูกแล้วเธอยังคงทำงานอยู่ก่อนจะมาเป็นแม่บ้านอย่างเต็มตัวหลังจากน้องต้นคูณอายุได้ 3 ขวบ และเริ่มตั้งครรภ์น้องพวงหยก ลูกสาวคนรอง

 

          พอตั้งท้องคนที่ 2 ผู้ใหญ่ก็อยากให้เราเลี้ยงลูก ซึ่งเราก็ว่าเขามองไกล พอออกมาเลี้ยงลูกเต็มตัวจริงๆ รู้เลยว่าเรารักลูกมาก รักแบบไม่เคยคิดว่าจะรักอะไรได้มากขนาดนี้ ก็เลยไม่รู้สึกว่ายากลำบากอะไรเลย แล้วก็เป็นคนที่ไม่ชอบตามแก้ปัญหาชอบป้องกัน ทีนี้มองว่าถ้าเราเริ่มต้นเลี้ยงลูกเอง ลูกคงไม่น่าจะเจ็บป่วย ด้วยความที่เรามีความรู้ทางเภสัชอยู่บ้าง และมีสุขอนามัยที่ดีกว่าให้คนอื่นมาเลี้ยง เพราะเราไม่รู้ว่าเขาเอาอะไรให้ลูกเรากิน เรื่องสุขอนามัยต่างๆ เป็นอย่างไร แล้วก็เรื่องพฤติกรรมเด็กบางคนเอาเท้าปิดพัดลม ซึ่งลูกเราจะไม่เคยเอาเท้าปิดพัดลม เพราะเราไม่ได้มีพฤติกรรมนั้นเลย คนใกล้ตัวเขาทำอย่างไรเด็กก็จะทำอย่างนั้น การเลี้ยงลูกจะทำให้เราสามารถสอนเขาเป็นแบบอย่างให้เขาได้ชัดเจนมากกว่าให้คนอื่นเลี้ยง การเลี้ยงลูกนี่คนเป็นแม่ต้องเสียสละนะคะ ต้องพร้อมจะอดนอน อดทนแล้วก็รอเก็บเกี่ยว ถ้าคุณไม่พร้อม คุณต้องรับผลไม้ที่จะออกมาจากการเลี้ยงดูของคุณ

 

          ในช่วงแรก คุณแม่มือใหม่ต้องใช้สัญชาตญาณของความเป็นแม่บวกกับวิธีเปิดตำราเลี้ยงลูก ซึ่งคุณยุ้ยให้ทัศนะว่าเป็นเรื่องจำเป็นไม่น้อยสำหรับครอบครัวเดี่ยวในกรุงเทพฯ

 

          การเปิดตำราเลี้ยงลูกก็มีความจำเป็น เพราะเราไม่มีผู้ใหญ่อยู่ในบ้าน และครอบครัวคนกรุงเทพฯ เราต่างคนต่างอยู่เป็นครอบครัวเดี่ยว ตำรานี่มีความสำคัญเพราะมันทำให้เรามีแนวทาง แล้วเวลาเราเจอปัญหาที่มันไม่ซับซ้อนจนเกินไป เรามีคำตอบเบื้องต้นแล้วเราก็มีกรณีศึกษามาก่อน เราก็รู้ว่าถ้าเราไม่ต้องการแบบนี้เราจะเริ่มป้องกันยังไง

 

          การเปิดตำราและการเลี้ยงลูกด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิดทำให้เธอได้เรียนรู้หลายสิ่ง ได้ลองผิดลองถูกจนในที่สุดก็พบว่าการสอนลูกให้ได้ผลนั้นต้องมีหลักการให้ยึดถือ ซึ่งเธอยินดีแบ่งปันให้ทุกครอบครัวได้รับทราบ

 

1. การสอนลูกต้องให้เข้าใจง่าย

 

          เวลาจะสอนลูก ดิฉันก็จะมานั่งคิดว่าจะสอนลูกยังไงให้เข้าใจ บางเรื่องมันก็เป็นเรื่องที่ยากเหมือนกันที่จะสอนหรืออธิบายให้ลูกฟัง แต่หลักก็คือ เราต้องพูดง่ายๆ ถ้าไปสอนเรื่องที่เป็นนามธรรมมากเกินไป เด็กจะไม่เข้าใจ

 

          อย่างการสอนลูกสาวเรื่องการรักนวลสงวนตัว ตอนนี้ลูกคนกลางเขาก็เริ่มโตเป็นวัยรุ่น ครั้งหนึ่งเขาก็อยากใส่สายเดี่ยวเพราะรุ่นพี่รุ่นน้องเขาก็ใส่ เราก็จะอธิบายกับเขาว่าสมมติว่าผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวโป๊ๆ มา ผู้ชายมองปั๊บ เขาก็คิดว่าอยากจะรังแกทางเพศผู้หญิงคนนี้ สมมติว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นหนู แต่หนูมีรถ มีพ่อมีแม่ มีพี่ชาย หนูไม่ได้ขึ้นรถเมล์หรือเดินตามลำพัง เขาเห็นหนูปั๊บ เขานึกอยากทำร้ายทางเพศ แต่เขาทำไม่ได้ สักพักเขาเห็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งเดินมา คนนั้นเขาแต่งตัวเรียบร้อย แต่เขาไม่มีรถ ไม่มีพี่ชาย ไม่มีพ่อแม่ เขาทำงานเสร็จกำลังจะกลับบ้าน แต่เขาก็ต้องถูกกระทำเพราะว่าผู้ชายคนนั้นเขายังอยู่ในอารมณ์แบบนั้น หนูอยากจะเป็นต้นเหตุนั้นไหม เพราะในชีวิตจริง โอกาสที่หนูแต่งตัวอย่างนี้แล้วหนูจะถูกกระทำมันน้อยมาก ด้วยปัจจัยที่เราพูดไป เวลามีข่าวเราก็จะพูดกับลูกว่าสงสารไหม คนที่ถูกกระทำเขาอาจจะแต่งตัวเรียบร้อย เป็นคนดี แต่เขาไม่มีใครคุ้มครอง การทำงานทำให้เขากลับบ้านมืดค่ำ เขาเลือกไม่ได้ แล้วเขาต้องมาเสี่ยงอันตรายเพราะเราเป็นต้นเหตุหรือหนูอยากเป็นต้นเหตุหรือ แล้วอีกอย่างถ้าหนูอยากแต่ง แม่แต่งก่อนดีไหม หนูดูแม่ก่อนไหม เขาไม่เอา

 

2. สองลูกไม่ให้ดูถูกผู้อื่น

 

          เวลาเห็นคนกวาดถนน ดิฉันจะบอกลูกว่า ถ้าไม่มีเขาเราลำบากนะ ดูสิ ถ้าขยะเต็มถนนเลย หนูคิดว่าหนูอยู่ในรถหนูปลอดภัยเหรอ มันไม่ปลอดภัยหรอก ถ้าเราเปิดหน้าต่างฝุ่นควันก็เข้ามาได้ เราจะชี้ให้เขาเห็นว่าทุกอาชีพมันมีการเกื้อกูลกันหรือแม้แต่แม่บ้าน เราก็บอกเขาว่าให้เรียกพี่ป้าน้าอา แล้วก็มีหางเสียงหมด ถ้าจะให้เขาช่วยทำอะไร ก็จะบอกว่าหนูฝากใบหนึ่งนะคะ

 

3. ส่งเสริมเรื่องการอ่าน

 

          เริ่มจากการที่ว่าเราสอนให้อ่านหนังสือตั้งแต่เขายังอ่อนหนังสือไม่ออก ลูกจะคุ้นกับตัวอักษร ดิฉันอ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่เล็กๆ ด้วยหนังสือไม่กี่เล่ม ไม่ต้องซื้อหนังสือเยอะเลย แต่อ่านซ้ำๆ คือไม่ใช่ว่าต้องมีเงินเยอะๆ ซื้อหนังสือให้ลูกอ่านนะคะ เด็กเล็กเขาชอบอะไรที่มันซ้ำๆ พอซ้ำๆ ปุ๊บเขารู้ว่าต่อไปจะเป็นคำว่าอะไร สักพักเขาจะอ่านให้เราฟัง เพราะเขาจำได้ เขาอาจจะท่อง แต่เขารู้ว่าเขียนแบบนี้มันอ่านว่าอย่างนี้ พอเขาไปเจอที่โรงเรียน เหมือนกับว่าเขาอ่านหนังสือออกก่อนที่เขาจะเข้าโรงเรียน ทั้งๆ ที่เราไม่ได้สอน

 

          เวลานั่งรถ ดิฉันจะเอาเขานั่งตักแล้วก็อ่านป้ายต่างๆ ให้เขาฟัง เราให้ทุกอย่างที่เรารู้ อะไรที่เรารู้จะพยายามพูดให้ลูกรู้ โดยที่ไม่ได้ไปบีบบังคับ ให้ลูกมานั่งเรียน ไม่เคยจับมือลูกเขียนหนังสือถ้าลูกไม่ร้องขอ

 

          ทำไมต้อนคูณ ลูกชายคนโตเขาถึงไม่รู้สึกยากลำบากที่จะไปแข่งเพชรยอดมงกุฎ หรือแฟนพันธุ์แท้ เพราะความรู้มันเต็มหัวเขา เพราะเขาอ่านเยอะมาก ทำไม เพราะเขาอ่านหนังสือได้เร็ว อ่านตั้งแต่อายุยังน้อย ดิฉันชอบคำโบราณคำหนึ่งว่า ความรู้ทำให้องอาจ พอเขารู้สึกว่าเขารู้ หลังก็จะตรง คือมันองอาจ เหมือนเราร้องเพลง เวลาเราดำน้ำร้อง เราจะไม่มั่นใจ แต่เขาไปแข่งได้สบายๆ อย่างแฟนพันธุ์แท้ก็ไปแข่งกับคนที่อายุมากกว่าเขา

 

4. ทำให้ลูกมีความมั่นคงในทางจิตใจ

 

          หมายถึงทำให้เขาไว้ใจพ่อแม่ ความมั่นคงทางจิตใจที่เขามีต่อพ่อแม่นี่สำคัญ คนเป็นพ่อแม่ต้องทำให้ลูกเชื่อมั่นศรัทธาเรา ถ้าลูกไม่ศรัทธาพ่อแม่มันก็สอนกันยาก เพราะว่าถ้าเราพูดไปลูกที่ไม่ศรัทธาพ่อแม่ก็จะคิดว่าพูดอะไรไม่รู้ กลายเป็นพ่อแม่ขี้บ่น แต่ถ้าเขาศรัทธา เราก็บ่นนั่นแหละ แต่เขาก็รู้ว่าที่เราบ่นน่ะมันจริง ไม่ใช่ว่าที่เราพูดกลายเป็นอากาศธาตุ ไม่มีความหมาย เด็กต้องมั่นคงตรงนี้ แล้วความสุขจะตามมา

 

5. สอนลูกให้มีความมุ่งมั่น

 

          ลูกเคยมาท่องประโยคหนึ่งให้ฟังว่า วิชาเหมือนสินค้า แต่เราชอบประโยคที่ว่า ขี้เกียจคือปลาร้าย จะทำลายให้เรือจม เวลาเขาขี้เกียจ จะท่องประโยคนี้ให้เขาฟังเลย เรือก็คือตัวเรานี่แหละ ถ้าเราขี้เกียจ ไม่เอาแล้ว ก็คือเราถูกปลาร้ายมาทำลายตัวเรา

 

          การสอนลูกให้มุ่งมั่นไปสู่ความสำเร็จ ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ เราจะไม่กดดันลูกว่าต้องชนะ หรือต้องเอาให้ได้ เราจะไปทีละขั้น อย่างลูกสาวมาบอกว่าเขาได้แข่ง spelling แต่ไม่รู้ว่าจะชนะหรือเปล่า เราก็บอกว่า แค่ลูกได้เข้าแข่งก็ชนะแล้วรู้ไหม คือที่ว่าจะไปแข่งเพื่อชนะมันไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือกระบวนการที่กว่าหนูจะได้เป็นตัวแทน พอหนูเป็นตัวแทนแล้วหนูยังต้องไปผ่านกระบวนการต่างๆ อีก ตรงนั้นสำคัญกว่า สุดท้ายผลลัพธ์ไม่ว่าจะออกมายังไง หนูก็ชนะไปทีละขั้นอยู่แล้ว คนเราไม่จำเป็นต้องชนะได้ที่หนึ่ง เพราะคนตั้งเยอะตั้งแยะ ถ้าหนูชนะ เขาก็แพ้ ถ้าหนูแพ้ เขาก็ชนะ ที่หนึ่งมันมีที่เดียว แต่ว่าให้เขามองเรื่องกระบวนการว่าจากจุดแรกไปถึงจุดสุดท้ายเขาได้เกี่ยวเกี่ยวอะไรบ้าง

 

          อย่างลูกชายไปแข่งแฟนพันธุ์แท้ ตอนไปซักซ้อมเขาก็ตอบได้เยอะ อธิบายได้เยอะ แต่พอถึงตอนแข่ง เขาตบไฟไม่ติด เราก็บอกว่า ไม่ใช่ว่าลูกตอบไม่ได้ แต่ลูกตบไฟไม่ติด ไฟมันเป็นเรื่องของความว่องไว เรื่องความเฮง แค่เราตอบไปไม่ผิดเลยก็โอเคแล้ว ความรู้ที่เราสะสมมา แสดงว่าใช้ได้ แต่เรื่องของไฟมันควบคุมไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่เป็นไร

 

          เด็กนี่ถ้าเราไปกดดันเขา พอไม่สำเร็จเขาก็จะไม่เอาแล้ว แต่ถ้าเราไม่กดดันเขา ดิฉันบอกลูกเสมอว่าทุกๆ ขั้นตอนมีโอกาสเสมอ ลูกเดินไปทีละขั้น แค่นี้เขาก็จะมีความสุข มั่นใจและมั่นคง

 

6. สอนลูกให้มีจิตสำนึกสาธารณะ

 

          อันนี้สำคัญมาก เป็นคนที่ไม่ซื้อของเล่นที่เป็นถ่านไฟฉายให้ลูกเล่น เพราะว่าเราเชื่อว่ามันอันตราย สอง มันเป็นมลภาวะ โอเค เรามีเงินซื้อ เราเอามันไปเล่นสนุกแต่สุดท้ายเราก็ทิ้งมันไป แล้วมันก็ไปก่อมลภาวะต่อไป ถ้าเราเริ่มตั้งแต่ไม่ซื้อ ไม่เล่น มันก็เป็นการตัดวงจรไป ทุกวันนี้ดิฉันหิ้วปิ่นโตอาหารนะคะ อย่างไปซื้อของตามซุปเปอร์มาร์เก็ต ไม่ว่าลูกจะอยู่หรือไม่อยู่จะบอกคนขายทุกครั้งว่าดิฉันใช้ถุงน้อยที่สุดนะคะ

 

          เรื่องจิตสำนึกต่อสังคมก็สำคัญมาก เราจะพาเขาไปทำกิจกรรมเพื่อสังคม อย่างล่าสุดวันเด็ก ก็จะเอาของรางวัลที่ลูกเขาได้มาเวลาไปเล่นสอยดาวหรืออะไรต่างๆ ตอนได้มาเขาก็ดีใจ แต่ด้วยความที่ลูกเป็นเด็กที่ไม่รู้สึกขาด เขาก็รู้ว่า เขาไม่ควรแกะของพวกนี้มาเล่น เพราะเขายังรักตัวเก่า แล้วของเล่นเขาก็มีเยอะแล้ว ฉะนั้นเราก็จะเก็บสะสมของพวกนี้ไว้ วันเด็กที่ผ่านมาเราก็ไปร่วมกับกองทุนเพื่อเด็ก ออกบูธ เอาสินค้าไปทำกิจกรรมเป็นการประชาสัมพันธ์สินค้า แล้วก็เอารางวัลที่หลากหลายไปด้วยให้เด็กเล่นเกมส์ เราจ่ายค่าบูธ 2,000 บาท แต่ลูกเราทั้งสามคนทำตั้งแต่เตรียมงาน จัดของ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า มีความสุขปลื้มปิติ ที่เห็นเด็กคนอื่นมาเล่น แล้วเขาก็ได้เรียนรู้ว่าจะให้กำลังใจเด็กที่เล่นไม่ได้อย่างไร แล้วเขาก็ได้รับความรู้สึกที่ว่าการเป็นผู้ให้มันเป็นอย่างไร

 

          ก่อนจบบทสนทนา คุณยุ้ยกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า คุณพ่อคุณแม่ทุกคนย่อมปรารถนาให้ลูกของตนเป็นคนเก่ง แต่สิ่งสำคัญสำหรับครอบครัวของเธอ ลูกต้องเป็นทั้ง คนเก่ง และ คนดี ด้วย

 

          เราก็เห็นตัวอย่างมาเยอะแล้วว่า เก่งอย่างเดียวบางทีเอาตัวเองไม่รอด และยังพาบ้านเมืองสังคมวุ่นวายไปด้วย ความเก่งต้องควบคู่ไปด้วยความดีงาม ดิฉันจะบอกลูกเสมอว่าหนูเรียนให้เก่งนะ เพราะถ้าหนูเรียนหนังสือได้ดี หนูจะไม่เป็นภาระคนอื่นและช่วยเหลือคนอื่นได้ เราเรียนเก่งเพื่อให้เราไปช่วยคนอื่น เราไม่ได้เรียนเก่งเพื่อให้ไปเอาเปรียบคนอื่น เพราะฉะนั้นหนูต้องเป็นทั้งคนเก่งและคนดีด้วย

 

 

 

 

 

 

ที่มา : วารสารเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและครอบครัว ทอฝันปันรัก ปีที่ 10 ฉบับที่ 65 ประจำเดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ 2552

 

 

 

update: 02-04-53

อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร

 

Shares:
QR Code :
QR Code