สอนลูกดูละครอย่างสร้างสรรค์ วัคซีนคุ้มกันเท่าทันสื่อ

 

กำลังเป็นกระแสพูดถึงอย่างร้อนแรงในสังคม กับข่าวที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สำหรับเด็กอายุ 8 ขวบ ที่เลียนแบบบทบาทของตัวละครในฉากรุนแรงของเรื่อง “แรงเงา” จนเกือบกลายเป็นเหตุเศร้าสลด ซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ และทุกๆ ครั้งนักวิชาการต่างออกมาแสดงความคิดเห็น เรียกร้อง แนะนำสื่อให้กำหนดขอบเขตในการนำเสนอภาพและฉากรุนแรง แต่ปัญหาเดิมๆ ก็ยังคงวนเวียน มีให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

วันชัย บุญประชา ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว และผู้จัดการแผนงานสุขภาวะครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มองว่า สังคมควรเอาใจใส่เด็กต่อการบริโภคสื่อ ยกตัวอย่าง ปกติเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ ควรห้ามดูทีวี แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่มีความรุนแรง แต่เนื่องจากแสง และ ภาพ มีผลต่อการส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก พ่อแม่ต้องเลือกสื่อที่ดีและสร้างสรรค์ให้ลูกได้เรียนรู้ มีสื่อที่เหมาะสมกับเด็กวัย 3-6 ปี มากมายที่มีประโยชน์ต่อพัฒนาการ นอกจากนี้เด็กควรดูทีวีวันหนึ่งไม่เกิน 2 ชั่วโมง เพราะยังมีสื่อต่างๆ อย่าง ดนตรี หนังสือ ที่เหมาะสมกับเด็ก เมื่อเข้าสู่วัยประถม เด็กจะเริ่มเลียนแบบพ่อ แม่และจากสื่อที่ได้รับ

“หัวใจสำคัญคือ การมีเวลาอยู่กับลูก  ไม่ควรปล่อยให้เด็กบริโภคสื่อตามลำพัง พ่อแม่อยู่ด้วยจะช่วยเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ที่ถูกต้อง สื่อพวกนี้จะไม่สามารถทำอะไรเด็กได้ถ้าเด็กมีภูมิคุ้มกันที่ดี” วันชัย ผู้ทำงานส่งเสริมสุขภาวะครอบครัวบอก

ผู้ทำงานส่งเสริมสุขภาวะครอบครัว บอกอีกว่า เมื่อลูกได้ดูสื่อทั้ง ละคร หรือภาพยนตร์และเริ่มที่จะตั้งคำถามกับภาพที่เกิดขึ้น พ่อแม่ควรอธิบายให้ลูกเข้าใจว่าสื่อคืออะไร ภาพที่ปรากฏบนจอทีวีคือการแสดงเพื่ออะไร อาจเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แต่มีการแก้ปัญหาหลายๆ อย่าง การดูสื่อกับลูกไม่ว่าจะดีหรือรุนแรง หากพ่อแม่แนะนำวิธีสร้างสรรค์เป็นภูมิคุ้มกัน  ก็สามารถใช้สื่อเพื่อเรียนรู้เป็นต้นแบบได้ สิ่งที่น่ากังวลมากคือ การให้สภาพแวดล้อมเป็นผู้ดูแลลูก พ่อแม่บางส่วนอาจปล่อยให้ลูกอยู่กับสื่อโดยลำพัง เราไม่สามารถคาดหวังได้ว่า ถ้าเด็กได้รับสื่อ และเอาไปทำอะไรต่อ การที่มีเวลาร่วมเรียนรู้กับลูกและการเสริมความคิด ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี กระตุ้นให้เด็กได้คิดได้พูด ถ้าสิ่งที่เค้าแสดงออกมาเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ต้องปรับทัศนะคติ

“สื่อเป็นพื้นที่ที่สร้างการเรียนรู้สำหรับเด็ก  ทุกครั้งที่มีการแสดงบทบาท พฤติกรรมของตัวละคร ควรคิดเสมอว่า คนดูจะเกิดการเรียนรู้ในเชิงสร้างสรรค์ได้ยังไง ผู้ผลิตเองต้องสร้างสรรค์สื่อเพื่อสร้างพฤติกรรมเชิงบวกให้กับคนดูให้ได้ ผู้ผลิต เจ้าของช่อง บริษัทสินค้าโฆษณา  รวมถึงภาครัฐ ก็ต้องร่วมมือกันดูแล กำกับสื่อให้นำเสนออย่างสร้างสรรค์” วันชัยฝากถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

ด้านสุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ก็ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เป็นการกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์  เด็กอาจทำไปด้วยความอยากรู้อยากลอง เมื่อเด็กได้ดูละครและและนำไปเลียนแบบในทางที่ผิด ก็ถือเป็นเรื่องที่สะเทือนใจและน่าห่วงมาก ด้านสื่อเองต้องกลับไปทบทวนว่า ละครของตน มีเนื้อหาที่มีอิทธิพลต่อเด็กและเยาวชนในด้านบวกหรือลบและสามารถทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบในทางที่ถูกหรือผิดมากกว่ากัน เหตุการณ์นี้ต้องยกเป็นกรณีศึกษา

สุเพ็ญศรี บอกต่อว่า สำหรับตัวละครในฉากที่มีพฤติกรรมการส่งคลิปวีดิโอ เผยแพร่ความรุนแรงถึงกัน เป็นการตอกย้ำภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้น ในความเป็นจริงถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ส่วนการนำเสนอการทำร้ายร่างกายของผู้หญิงด้วยกันเอง และมีการแก้แค้นเกิดขึ้น เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ส่วนวิจารณญาณในการชมของคนทั่วไปนั้น ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับละคร อาจเกิดการกระทำที่เหมือนกับตัวละคร เพราะคิดว่าจะได้ผลตอบรับเช่นเดียวกับในละคร

“ควรมีการบ่มเพาะและให้วัคซีนป้องกันแก่เด็กและเยาวชนนั่นคือ “การตระหนักรู้” ผู้ใหญ่เองควรส่งเสริม แนะนำให้เด็กและเยาวชนเกิดการเรียนรู้ การเข้าใจและไตร่ตรองสื่ออย่างถูกต้อง เพราะผู้หญิงและผู้ชายในปัจจุบัน ไม่ได้รับการบ่มเพาะค่านิยมการเคารพสิทธิของผู้อื่นเท่าที่ควร ทักษะการปฏิเสธของเด็กผู้หญิง ผู้ชาย ลดน้อยลงกว่าเดิม การลวนลามทางเพศจึงเกิดขึ้นง่ายกว่าแต่ก่อน เพราะสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นบริโภคนิยมในปัจจุบัน ทำให้สื่อเองลืมนึกถึงและรับผิดชอบต่อสังคม สื่อเองต้องมีความรับผิดชอบต่อการนำเสนอสู่สังคม ไม่มุ่งเน้นกำไรทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว” สุเพ็ญศรีบอกทิ้งท้าย

 

 

เรื่องโดย พิมพ์ชนก ศรเพชร Team Content www.thaihealth.or.th

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code