สสส. ปรับแผนลดวิกฤต ศก.

จัดทำดัชนีความก้าวหน้าประเทศ

          เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ทพ.กฤษฎา เรืองอารีรัตน์ รองผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำชับให้ สสส.ทบทวนการบริหารกองทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ว่า ที่ผ่านมา สสส. ปรับปรุงการทำงานมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีคณะกรรมการบริหารแผนงาน 7 แผน เป็นผู้วางแผนดำเนินงานในแต่ละโครงการเป็นรายปีอยู่แล้ว และมีการตรวจสอบผลดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

          ทพ.กฤษฎากล่าวว่า สสส. ได้รับมอบหมายให้ดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาคนตกงาน ว่างงาน เด็ก เยาวชนที่พ่อแม่ตกงาน ซึ่งมียุทธศาสตร์ 6 ด้าน โดยแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา 1 ชุด มี นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานคณะกรรมการบริหารองค์การเภสัชกรรม (บอร์ด อภ.) และคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นประธาน ยุทธศาสตร์ที่สำคัญเรื่องหนึ่ง คือ การจัดทำดัชนีความก้าวหน้าของประเทศ เป็นครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดความเจริญเติบโตของประเทศที่สำคัญ ซึ่งนิยมทำในประเทศแถบยุโรป และแคนาดา

          “วิธีนี้จะแตกต่างจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เป็นหลัก โดยจะวัดจากการนำจีดีพีมาหักลบกับค่าใช้จ่ายด้านลบของประชาชนออกไป เช่น ค่าสูญเสียจากอุบัติเหตุ ค่าใช้จ่ายซื้อสุรา เบียร์ เป็นต้น จะทำให้ได้ตัวเลขความก้าวหน้าของประเทศที่แท้จริง โดยในเดือนมิถุนายนนี้ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) จะมาประชุมที่ประเทศไทยเพื่อมาศึกษากรณีของประเทศไทย และมาชี้แนะแนวทางการจัดทำดัชนีชี้วัด นอกจากนี้มีการติดต่อ ศ.โจเซฟ สติกลิตซ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2544 มาเป็นที่ปรึกษา และผู้ออกแบบดัชนีความก้าวหน้าของประเทศไทยด้วย” ทพ.กฤษดากล่าว

          ทพ.กฤษดากล่าวว่า สำหรับมาตรการฉุกเฉินช่วยเหลือผู้เดือดร้อนจากวิกฤตเศรษฐกิจ สสส. จะปรับแผนในหลายโครงการที่ได้รับอนุมัติงบประมาณแล้ว 106 ล้านบาท โดยปรับเนื้อหาการทำงาน กลุ่มเป้าหมาย ให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจ เช่น ปัญหาคนว่างงาน การศึกษา ยาเสพติด ความรุนแรงทางเพศ เป็นต้น เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้เดือดร้อนเบื้องต้น ส่วนแผนช่วยเหลือระยะยาว สสส. ปรับแผนการดำเนินการปี 2552 – 2553 ทั้งหมด โดยใช้งบประมาณของ สสส. มาช่วยเหลือเศรษฐกิจทั้งหมด ซึ่งแต่ละปี สสส.มีเงินบริการกองทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

update 30-03-52
Shares:
QR Code :
QR Code