สร้างเครือข่ายการบริโภคอาหารอย่างยั่งยืน
วิกฤตเคมีและยาฆ่าแมลงในอาหารทำคนไทยเสี่ยงตายเพิ่ม หลังสำรวจพบเกษตรกรไทยมีสารเคมีตกค้างในเลือดสูงถึง 30% ด้านผู้บริโภคเสี่ยงตายหนักพบสารเคมีตกค้างในเลือดถึง 36% สสส. ห่วงสุขภาพคนไทย ล่าสุดจับมือ พันธมิตร สร้างเครือข่ายการบริโภคอาหารอย่างยั่งยืน ปลอดภัย
นางจงกลนี วิทยารุ่งเรืองศรี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านอาหารปลอดภัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงความไม่ปลอดภัยและความเสี่ยงในการบริโภคอาหารของคนไทยปัจจุบัน พบว่าอัตราเสี่ยงที่จะประสบปัญหาด้านสุขภาพมีเพิ่มมากขึ้น จากการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนสารเคมีและยาฆ่าแมลง โดยผลการสำรวจของมูลนิธิชีววิถี (Biothai) พบว่า เกษตรกรไทยมีสารเคมีตกค้างในเลือดสูงถึง 30% แต่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงกว่าคือกลุ่มผู้บริโภคเนื่องจากมีปริมาณสารเคมีตกค้างในเลือดสูงถึง 36%
ด้วยเหตุนี้ สสส. ซึ่งมีนโยบายด้านการพัฒนาระบบและกลไกลสนับสนุนเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ จึงร่วมกับ บริษัท สวนเงินมีมา จำกัด และ และเครือข่าย จัดทำโครงการพัฒนาต้นแบบตลาดทางเลือก ด้วยกลไกการเชื่อมโยงผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และ ผู้บริโภค ขึ้น เพื่อให้เกิดสังคมการบริโภคอย่างยั่งยืนและปลอดภัย ซึ่งโครงการพัฒนาต้นแบบตลาดทางเลือกฯ จะเชื่อมโยงผลผลิตในวิถีการผลิตที่ใส่ใจจากทั้งเกษตรในแนวทางของเกษตรอินทรีย์ และ การผลิตผลิตภัณฑ์อาหารที่ปลอดภัยสู่ผู้บริโภคโดยตรง โดยที่กระบวนการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารนั้น จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ผลิต ผู้บริโภค และระบบนิเวศน์
ด้าน นางวัลลภา แวนวิลเลียนส์วาร์ด กรรมการผู้จัดการ บริษัท สวนเงินมีมา จำกัด ในฐานะผู้ดำเนินงานโครงการพัฒนาต้นแบบตลาดทางเลือกฯ กล่าวถึงกลไกการเชื่อมโยงผู้ผลิตหรือเกษตรกรกับผู้บริโภคว่า โครงการฯ จะเป็นคนกลางในการเชื่อมโยงเกษตรกรซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารไปสู่ผู้ประกอบการหรือผู้จัดจำหน่าย อาทิ กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจสีเขียว ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ผู้ให้บริการจัดเลี้ยงสีเขียว รวมถึงกลุ่มผู้บริโภคสีเขียวอีกด้วย โดยในการทำงานนั้นจะมีการประสานงานกับนักวิชาการในการให้ความรู้เรื่องการผลิตและการบริโภคอาหารอย่างปลอดภัยพร้อมทั้งสร้างมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ในเครือข่ายให้สามารถตรวจสอบในด้านของความปลอดภัยสารเคมีตกค้างและสร้างการยอมรับให้เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้บริโภคโดยขณะนี้มีกลุ่มเกษตรกรเข้าร่วมกับโครงการฯแล้วประมาณ 10 กลุ่ม
ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้โครงการประสบผลสำเร็จนั้นเกิดจาก “การสร้างประโยชน์ร่วม ระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค” ซึ่งผู้ผลิตจะได้ประโยชน์ในด้านการขยายตลาดไปสู้ผู้บริโภคโดยตรง ส่วนผู้บริโภคเองก็จะมีช่องทางในการบริโภคผลผลิตอินทรีย์โดยไม่ต้องผ่านระบบคนกลาง ทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ราคาไม่แพง และเป็นการเกื้อหนุนวิถีการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งความผลสำเร็จของการดำเนินงานโครงการพัฒนาต้นแบบตลาดทางเลือกฯ นั้น จะส่งผลให้สังคมเห็นถึงพลังของผู้บริโภคมีอยู่จริง โดยเราสามารถเลือกอาหารและผลผลิตที่มีคุณภาพ ปลอดภัยต่อชีวิตตนเองได้ ทั้งยังช่วยสร้างความเกื้อกูลกันในสังคมของผู้ผลิตและผู้บริโภคให้เกิดเป็นระบบในการบริโภคอาหารที่ดีและเป็นธรรมได้อย่างแท้จริง
สำหรับในส่วนของการพัฒนาเกษตรกรนั้น นายสุชาญ ศีลอำนวย เลขาธิการมูลนิธิเอ็มโอเอไทย ในฐานะองค์กรผู้ร่วมสนับสนุนโครงการพัฒนาต้นแบบตลาดทางเลือกฯ กล่าวว่า แนวทางในการช่วยเหลือและพัฒนาเกษตรที่เข้าร่วมโครงการฯ นั้น มี 4 แนวทาง คือ
1. ให้ความรู้จัดอบรมปรับแนวคิดด้านเกษตรธรรมชาติอย่างถูกต้องแก่เกษตรกร โดยนำทรัพยากรในท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดการพึ่งพาภายนอก เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูก
2. ติดตามผลร่วมกับเจ้าหน้าที่โครงการฯ เพื่อร่วมเรียนรู้กับเกษตรกรในแปลง พร้อมให้คำปรึกษาด้านต่างๆ โดยเฉพาะเทคนิคการเพาะปลูกที่คล้อยตามและเคารพธรรมชาติ พร้อมสอดแทรกปรัชญาแนวคิดการพัฒนาจิตใจของเกษตรกรให้คำนึงถึงสุขภาวะของผู้บริโภคเป็นอันดับแรก
3.จัดการพบปะกับเกษตรกรกลุ่มอื่นและกลุ่มผู้บริโภคเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้รับฟังความคิดเพื่อนำมาพัฒนาผลผลิตของตนเอง
4.สร้างเกษตรกรรายใหม่เพราะการสร้างตลาดทางเลือกจำเป็นต้องมีกลุ่มเกษตรกรจำนวนมากและกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆเพื่อให้ผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการและผลผลิตไม่ขาดตลาด
5.วางแผนการปลูกร่วมกันกับเกษตรกรเพื่อกำหนดชนิดปริมาณและราคาซึ่งจะนำไปสู่การสร้างตลาดทางเลือกที่เกื้อกูลเกษตรกร โดยมูลนิธิฯ และโครงการฯ มีตลาดรองรับผลผลิตของเกษตรกรไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการร่วมมือกันของทุกฝ่ายครั้งนี้จะทำให้โครงการพัฒนาต้นแบบตลาดทางเลือกฯ ประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน