สร้างอำเภอควบคุมยาสูบ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้มแข็ง

 

กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่าย เตรียมสร้างอำเภอควบคุมยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้มแข็ง นำร่องใน 12 จังหวัด หวังให้สังคมไทยปลอดบุหรี่และสุรา

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา ที่โรงแรมอมารี ดอนเมือง กรุงเทพฯ  นายพสิษฐ์  ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อชี้แจงสาระสำคัญและแนวทางการดำเนินการอำเภอควบคุมยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้มแข็งว่า การสูบบุหรี่และการดื่มสุราเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม นำไปสู่การจัดทำนโยบายและมาตรการต่างๆ รวมถึงกฎหมายเพื่อป้องกันควบคุมการบริโภคยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค มีเป้าหมายที่จะทำให้ประชาชนมีสุขภาพดีถ้วนหน้า สังคมไทยปลอดบุหรี่และสุรา ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนากฎหมายให้ทันต่อสถานการณ์และมีมาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง สร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนให้เกิดแรงสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพและความร่วมมือในการดำเนินการอำเภอควบคุมยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้มแข็งอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งขยายผลให้เกิดการดำเนินการครอบคลุมไปทั่วทุกจังหวัดของประเทศ     

นายพสิษฐ์ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันการควบคุมการบริโภคยาสูบ ได้มีการดำเนินการร่วมกับภาคีเครือข่ายมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 20 ปี และมีกฎหมายที่สำคัญในกำกับดูแล 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2535 และพระราชบัญญัติคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ.2535 ซึ่งมีสาระสำคัญ เพื่อมุ่งคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ในสถานที่สาธารณะ นอกจากนี้ยังมีการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 19 พ.ศ.2553 เพื่อขยายขอบเขตสถานที่สาธารณะที่เป็นเขตปลอดบุหรี่ออกไปอย่างกว้างขวางและครอบคลุมพื้นที่สาธารณะ และสถานที่ทำงานภายในอาคารทุกแห่ง โดยให้ความสำคัญในการป้องกันอันตรายจากควันบุหรี่มือสอง

ส่วนการควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้มีการดำเนินมาตรการด้านกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 และได้กำหนดให้มีผู้รับผิดชอบดำเนินการขับเคลื่อนในระดับจังหวัด ในรูปแบบของ “คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัด” ปัจจุบันยังพบว่า ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปยังไม่ทราบกฎหมาย และยังพบการละเมิดกฎหมายอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้น หน่วยงานของรัฐ และองค์กรเครือข่ายระดับพื้นที่ จึงมีบทบาทสำคัญที่จะต้องเข้ามาเป็นแกนหลักในการดำเนินงานร่วมกับชุมชนและภาคประชาสังคม ให้เกิดการขับเคลื่อนการดำเนินการในระดับพื้นที่ให้คลอบคลุมมากที่สุด

ด้านนายแพทย์นพพร  ชื่นกลิ่น  รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัจจุบันการสูบบุหรี่ยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศ  โดยภาพรวมสถานการณ์การบริโภคยาสูบในประเทศไทย จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี พ.ศ.2554 พบว่า อัตราการบริโภคยาสูบปัจจุบันชนิดมีควันของประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป อยู่ที่ร้อยละ 21.40 (11.5 ล้านคน) เพิ่มขึ้นจากสองปีที่ผ่านมา คือในปี พ.ศ.2552 ร้อยละ 20.70 (10.91 ล้านคน) และผลสำรวจการได้รับควันบุหรี่มือสองในช่วง 30 วันก่อน ของประชากรนอกเขตเทศบาล ในปี พ.ศ.2554 ยังพบว่า ตลาดสด/นัด เป็นสถานที่ที่ประชาชนได้รับควันบุหรี่มือสองมากที่สุด ร้อยละ 69 รองลงมาเป็นที่บ้าน และสถานที่ทำงาน ร้อยละ 41.4 และ 35.2 ตามลำดับ

สำหรับสถานการณ์การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นอันดับที่ 40 ของโลก โดยเฉพาะเหล้ากลั่นดื่มมากเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยมีปริมาณ 13.59 ลิตร/คน/ปี จากข้อมูลสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค เมื่อปี 2554 พบว่า ผู้บาดเจ็บรุนแรงจากอุบัติเหตุจราจร จำนวน 80,962 ราย โดยผู้บาดเจ็บ 1 ใน 3 มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร่วมด้วย และคดีทำร้ายร่างกาย 15,714 ราย ก็พบว่า มีการดื่มแอลกอฮอล์ถึงร้อยละ 45

“ในการจัดการประชุมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ และความร่วมมือของเครือข่ายในการดำเนินการอำเภอควบคุมยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้มแข็ง การดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย และการเฝ้าระวังการบริโภคยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบบูรณาการ ทั้งในส่วนกลางและในระดับพื้นที่  โดยจัดกิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพและความร่วมมือในการดำเนินการอำเภอควบคุมยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้มแข็งใน 12 จังหวัด ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 4 ภูมิภาค ได้แก่  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ชัยนาท  จันทบุรี  นครปฐม  สุรินทร์  มหาสารคาม  นครพนม  พิจิตร  สุโขทัย  ลำพูน  พังงา  และจังหวัดสงขลา  ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ 12 พื้นที่ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1-12 สำนักควบคุมการบริโภคยาสูบ สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จำนวนทั้งสิ้น 70 คน” นายแพทย์นพพร กล่าวทิ้งท้าย

 

 

ที่มา : กลุ่มประชาสัมพันธ์ และข่าว สนง.เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรม ควบคุมโรค

 

Shares:
QR Code :
QR Code