สร้างชุมชนเข้มแข็งภายในรับมือภัยพิบัติ

ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก 


สร้างชุมชนเข้มแข็งภายในรับมือภัยพิบัติ  thaihealth


'ถ้าชาวบ้านเขาเริ่มต้นด้วยตัวเองตั้งแต่วันนี้ เขาจะเรียนรู้วิธีการทำงานและในอนาคตเขาจะทำเป็น' ไมตรี จงไกรจักร


แม้มวลน้ำมหาศาลที่ไหลบ่าท่วมพื้นที่ทั้ง 11 จังหวัดภาคใต้ ได้สร้างความเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์อีกครั้ง แต่มหาอุทกภัยครั้งนี้  ยังนำพาพลังน้ำใจจากหลากหลายเครือข่ายความร่วมมือและเหล่าจิตอาสาต่างพื้นที่ทั่วประเทศไหลมารวมกันเพื่อช่วยเหลือพี่น้องที่ประสบภัย อีกหนึ่งสายธารน้ำใจจากฟากฝั่งเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง อย่างชาว "บ้านน้ำเค็ม" จังหวัดพังงา ที่ปีนี้โชคดีน้ำไม่ท่วมเหมือนจังหวัดอื่น จึงมีโอกาสหยิบยื่นน้ำใจและความช่วยเหลือแก่เพื่อนบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่ชะอวด และเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ด้วยความที่อยู่ไม่ห่างจากพื้นที่ประสบภัยมากนัก ไมตรี จงไกรจักร และผองเพื่อนบ้านอีกสิบคนจากเครือข่ายผู้ประสบภัย สึนามิ บ้านน้ำเค็ม นัดรวมตัวกันจัดเตรียมของอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเบื้องต้น เข้าไปในพื้นที่ทันทีที่ทราบข่าว ภาพที่พวกเขาได้พบคือพื้นที่ในชะอวดท่วมหมด จนแทบไม่มีพื้นที่แห้งเหลืออยู่เลย


"เราไปชวนผู้ประสบภัยให้ลุกขึ้นมาจัดการตนเอง เริ่มจากบอกเขาว่าเรามีของมาด้วย แต่อยากให้ผู้ประสบภัยช่วยกันจัดการจะเป็นไปได้หรือไม่ เนื่องจากมองว่าเราเป็นคนนอกพื้นที่เราไม่ทราบพื้นที่แต่ละจุด แต่คนในพื้นที่เองจะรู้ข้อมูลดี"  ไมตรีเริ่มต้นเล่าถึงความช่วยเหลือของเครือข่ายฯ 


หลังจากสนับสนุนให้ผู้ประสบภัยในพื้นที่เริ่มตั้งศูนย์จัดการรับมือภัยพิบัติระดับชุมชนแห่งแรกขึ้น มีการจัดตั้งกรรมการเพื่อดูแลศูนย์ และสำรวจจำนวนคนเดือดร้อนที่ประสบภัย พบว่าหลายจุดหลายบ้านไม่ได้กินข้าว จึงชวนทำครัวประกอบอาหาร แพ็คของเพื่อนำไปแจกตามบ้าน และเคลื่อนย้ายชาวบ้านที่ต้องการย้ายออก โดยเฉพาะกลุ่มคนแก่และเด็ก


"รุ่งเช้าจึงนำของไปแจกชาวบ้าน โชคดีที่เรานำเรือไปเพราะชาวบ้านไม่มี ช่วยขับเรือให้เขาพาไปพบผู้ใหญ่บ้านรายหนึ่ง ที่ตำบลท่าเสม็ด ซึ่งอยู่ริมคลองชะอวด ซึ่งประสบภัยหนัก" จึงมีการหารือว่าจะตั้งศูนย์แห่งที่สอง หลังจากจัดตั้งศูนย์แล้วเริ่มประสานเครือข่ายภายนอก หลังจากนั้นมีผู้สนับสนุน ของบริจาคเข้ามา


สร้างชุมชนเข้มแข็งภายในรับมือภัยพิบัติ  thaihealth


"จากนั้นก็ทราบข่าวว่าทางเชียรใหญ่ก็ประสบภัยไม่แพ้กันและมีความต้องการอยากตั้งศูนย์แบบนี้บ้าง เราจึงให้ชาวบ้านที่ท่าเสม็ดนำของไปช่วยที่เชียรใหญ่ เพราะที่นี่เริ่มเป็นศูนย์กลางรับบริจาคแล้ว และให้ชาวบ้านที่ชะอวดเป็นคนสอนทางเชียรใหญ่จัดตั้งศูนย์ที่หมู่ 8 ตำบลท้องลำเจียก หลังจากนั้นเราก็ให้แต่ละศูนย์แจ้งสิ่งของที่ต้องการ เปิดเลขบัญชีเพื่อรองรับเงินทุนบริจาคเอาไว้สำหรับการซื้อวัตถุดิบมาทาอาหารกันต่อ" เมื่อหลายแห่งทราบข่าวการตั้งศูนย์ฯ ก็มองเห็นศักยภาพและอยากตั้งศูนย์เองบ้าง มาปรึกษาว่าทำอย่างไร จึงขยายการจัดตั้งศูนย์เพิ่มที่ หมู่ 2 ตำบลการะเกด ซึ่งปัจจุบันนี้ มีการจัดตั้งศูนย์ทั้งหมดไป 5 แห่งแล้ว คือที่ชะอวด 2 แห่ง และเชียรใหญ่อีก  3 แห่ง "งานหลักๆ ของการจัดตั้งศูนย์ฯ คือบริหารคน บริหารของแจก บริหารครัวกลาง หน้าที่ของเราคือการช่วยประสานกับเครือข่าย และความช่วยเหลือภายนอก เป็นเพียงคนกลางให้แนวคิดและคำปรึกษา เพราะเราไม่สามารถเข้าไปช่วยทุกพื้นที่ได้แน่นอน ดังนั้นเราต้องให้เขาลุกขึ้นมาให้ได้ เนื่องจากเราคงไม่ได้สามารถอยู่พื้นที่นานๆ"


ไมตรีเอ่ยว่าการจัดตั้งศูนย์ไม่มีข้อจำกัด สามารถทำได้หมดทุกพื้นที่ อย่างท่าเสม็ดน้ำท่วมสองเมตรกว่าแต่สามารถจัดตั้งศูนย์ฯ ได้


"ถ้าชาวบ้านเขาเริ่มต้นด้วยตัวเองตั้งแต่วันนี้ เขาจะเรียนรู้วิธีการทำงานและในอนาคตเขาจะทำเป็น" ประสบการณ์ทั้งหมดที่นำมาถ่ายทอดนี้ เขาเฉลยว่า ล้วนมาจากการเรียนรู้ในอดีตที่คนบ้านน้ำเค็มเคยต้องเป็นผู้ประสบภัยสึนามิ เมื่อปี 2547 จนสามารถรับมือและหาแนวทางป้องกันหากเกิดภัยพิบัติขึ้นในอนาคต จึงได้นำประสบการณ์ จากที่บ้านตัวเองมาถ่ายทอด ในฐานะอาสาสมัครของภาคีเครือข่ายด้านการจัดการภัยพิบัติ ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนสร้างเสริม สุขภาพ (สสส.)  โดยเน้นกระบวนการทำงานที่ตั้งอยู่บนแนวคิด "ชุมชนต้องจัดการตนเอง"


สร้างชุมชนเข้มแข็งภายในรับมือภัยพิบัติ  thaihealth


ภาคีมีการลงพื้นที่ทำงานจิตอาสา ช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยอื่นๆ ที่เกิดภัยพิบัติต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่โคราช สงขลา สตูล หรืออย่างเหตการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ และปทุมธานีครั้งใหญ่ ก็ใช้โมเดลเดียวกันนี้ จนที่ปทุมธานีสามารถสร้างเครือข่ายเข้มแข็งเกิดอาสาสมัครจิตอาสามากมายในปัจจุบัน


"เราต้องทำให้เกิดอาสาสมัครชุมชนเหล่านี้ออกไปช่วยเหลือคนอื่นได้ จะทำให้เขาจะมีประสบการณ์ในการรับมือกับ ภัยพิบัติได้มากขึ้น"


เขาบอกว่า หัวใจการช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัยตามแนวคิดของเครือข่ายคือ 1.ต้องให้ผู้ประสบภัยลุกขึ้นมาช่วยเหลือ ตัวเองให้ได้ 2. เมื่อช่วยเหลือตัวเองได้แล้วก็ต้องช่วยเหลือคนอื่นด้วย และ 3.ในระยะยาวผู้ประสบภัยจะต้องสามารถอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยได้ในอนาคต


สิ่งที่สำคัญคือ แม้ว่าน้ำแห้งแล้ว ผู้ประสบภัยจะต้องยกระดับทำเรื่องอื่น ต่อไป รวมถึงการจัดการชุมชนตัวเอง กรณีหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นในอนาคต ก็จะสามารถตั้งศูนย์ได้ทันที การจัดตั้งศูนย์จะทำให้เกิดการประสานงานกับคนภายในและความช่วยเหลือภายนอกง่ายขึ้น


สำหรับแผนต่อไป คือการชักชวนชาวบ้านในศูนย์ต่างๆ มารวมตัวกัน เพื่อหารือเรื่องการทำแผนฟื้นฟูระยะยาว ว่าจะยกระดับอย่างไร รวมถึงการทำข้อเสนอที่เป็นนโยบายในการจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืน


สร้างชุมชนเข้มแข็งภายในรับมือภัยพิบัติ  thaihealth


ซึ่งหลังน้ำท่วมการฟื้นฟูแบ่งเป็นสองส่วน คือการฟื้นฟูทางกายภาพ เรื่องกำจัดขยะ ซ่อมแซมถนนหนทาง ซึ่งทางภาคหน่วยงานรัฐต้องเข้ามาช่วยจัดการ แต่ในส่วนบ้านพักอาศัยหรือพื้นที่สาธารณะต่างๆ ที่เสียหายหรือต้องใช้ความสามารถด้านวิชาชีพช่าง เขาเอ่ยว่าควรสร้างความร่วมมือกับวิทยาลัยเทคนิคต่างๆ มาเป็นอาสาสมัครช่วยสำรวจและฟื้นฟูกับชาวบ้าน ซึ่งนอกจากเครื่องบริโภคแล้ว อีกสิ่งที่ชาวบ้านต้องการคืออุปกรณ์เครื่องนอนเพราะได้รับความเสียหายหมด รวมถึงเงินทุนและ เครื่องมือในการซ่อมแซมบ้าน


"อีกเรื่องคือท้องถิ่นต้องมีเครื่องมือป้องกันและช่วยเหลือตัวเองหากเกิดภัยพิบัติ เช่น เรือ แต่ปัจจุบันแต่ละ อบต.แทบไม่มีเรือเลย แต่ที่สำคัญที่สุด ในอนาคตเขาจะอยู่กับความเสี่ยงแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว ภาครัฐบาลควรต้องร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการตั้งกองทุนเพื่อการ เตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติในระดับชุมชน เพราะชาวบ้านโดยส่วนใหญ่ไม่เข้าใจและไม่มีความรู้ว่าเมื่อเกิดภัยเขาต้องทำอย่างไร เราจำเป็นต้องให้ความรู้แก่เขา" ไมตรีกล่าว

Shares:
QR Code :
QR Code