สร้างคนด้วย “ศิลปะ”
รางวัลรองชนะเลิศการวาดภาพการ์ตูนทางวิทยาศาสตร์ระดับชาติ รางวัลเหรียญทองรวมศิลปะสร้างสรรค์ รางวัลเหรียญทองวาดภาพไทยประเพณี รางวัลเหรียญทองการวาดภาพลากเส้น เหรียญทองการเล่านิทาน เหรียญทองนาฎศิลป์ไทยอนุรักษ์ ฯลฯ รางวัลเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของรางวัลทั้งหมดที่วางอยู่เรียงราย ซึ่งเป็นตัวชี้วัดได้ว่า โรงเรียนนี้มีดีอะไร ทำไมต้องได้รับรางวัลการันตีมากมายขนาดนี้
“อย่าบังคับให้เรียนๆ ได้ไหม ผมจบไปชาตินี้ก็ไม่ไปเป็นครูหรอก ประโยคนี้ทำให้ครูคิดเลย ตอนจบมาใหม่ๆ ไฟยังแรงอยู่ เราก็เพียรพร่ำสอนให้เด็กขยันเรียน จนลืมมองว่าสิ่งที่เราพยายามสอนเด็กไปเป็นการฝืนหรือบังคับเขาเกินไปหรือเปล่า” ครูพิสมัย เทวาพิทักษ์ บอกเล่าเรื่องราวความเป็นครูที่สอนนักเรียนในโรงเรียนร้องขี้เหล็ก ตำบลเชิงดอย อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ โดยสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โรงเรียนแห่งนี้เป็นฐานการเรียนรู้ ของตำบลสุขภาวะเชิงดอย
นี่เป็นความคิดของครูหลายคน หรือเป็นความคิดของระบบการศึกษาไทยที่มุ่งเน้นเรื่องการเรียนจนบางครั้งลืมศักยภาพและความแตกต่างของแต่ละคน และความรู้ก็ไม่ได้จำกัดอยู่ในห้องเรียนเท่านั้น เช่นเดียวกับโรงเรียนแห่งนี้ที่ใช้ความรักในงานศิลปะสร้างการเรียนรู้ให้เด็กๆ ทำในสิ่งที่ชอบแล้วจึงผูกโยงเข้ากับการเรียนรู้ที่เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อเด็ก
“เราจะเห็นว่าเด็กรักและชอบในงานศิลปะไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เราก็สามารถประยุกต์ศิลปะให้เข้ากับอายุและการเรียนรู้ได้ ศิลปะสร้างให้เขาเกิดสมาธิ เกิดการเรียนรู้ เกิดความคิดสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ๆ เราดีใจที่ได้จุดประกาย ถ้าเราไม่ให้โอกาสก็ไม่รู้ ภูมิใจที่เราไม่ได้จบศิลปะ แต่สอนศิลปะเด็กได้ เราเชื่อว่าความรู้มันเรียนทันกันได้ ยิ่งถ้าเด็กมีความชอบเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว”
แม้คุณครูพิสมัยจะไม่ได้จบศิลปะแต่เป็นแรงหลักให้โรงเรียนเล็กๆ แห่งนี้ได้เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงด้วยศิลปะ เพราะเกิดจากการเรียนรู้ และการศึกษาค้นคว้านั่นเอง
“เราเรียนรู้จากการเก็บสะสม เข้าอินเทอร์เน็ต หรือบางทีก็เป็นครูพักลักจำจากคนอื่นมาบ้าง” นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ครูทำให้เห็นว่า ความรัก ความใฝ่รู้ และการศึกษาค้นคว้า ความรู้ก็เรียนทันกันได้ ถ้าใจรัก ความสำเร็จก็ไม่ไกลเกินเอื้อม
แม้โรงเรียนร้องขี้เหล็กจะเป็นโรงเรียนเล็กๆ มีนักเรียนทั้งหมด 161 คน โดยมีตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 ส่วนใหญ่แล้วเด็กที่เรียนในโรงเรียนเป็นเด็กในชุมชน และเด็กไทยใหญ่ที่ยังไม่มีสัญชาติ โรงเรียนร้องขี้เหล็ก จึงเป็นโรงเรียนขยายโอกาสให้กับเด็กที่ฐานะทางบ้านอาจไม่เอื้ออำนวยที่จะส่งลูกเรียนโรงเรียนในเมืองได้
แต่หากพูดเรื่องการศึกษาแล้ว ที่นี้ก็ไม่ได้ด้อยกว่าที่ใดเพราะนอกจากจะมีรางวัลการรันตรีด้านศิลปะมากมายแล้ว ยังมีรางวัลเกี่ยวกับการแข่งขันชนะด้านทักษะต่างๆ อีกด้วย
“การใช้ศิลปะในการบูรณาการ การจับทางให้ถูก ครูต้องศึกษา โรงเรียนไม่ได้มุ่งหวังเรื่องการแข่งขัน แต่เป็นเหมือนผลพลอยได้ เน้นที่ใจที่ได้อะไรมากกว่า เราสอนการเป็นผู้ให้โดยใช้ศิลปะ เขาเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ศักยภาพคนเราไม่เท่ากัน เขาอาจมีความสามารถด้านอื่น ทุกคนมีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง เขาจะมุ่งมั่นในการทำ การเป็นคนดีไม่ใช่ต้องเป็นคนเก่ง ไม่ใช่ต้องได้ที่ 1 ตลอด” สมบูรณ์ เดชยิ่ง ผู้อำนวยการโรงเรียน กล่าว
สิ่งนี้เป็นการมองในอีกมิติของการศึกษาของผู้บริหาร ที่ไม่ใช่เข้มงวดแต่เรื่องการศึกษาจนลืมพัฒนาศักยภาพในด้านอื่นๆ ของเด็ก จนทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมาได้ ดังนั้นโรงเรียนควรฝึกทักษะหลากหลายด้านแก่เด็ก
“เราเหมือนตะแกรงร่อน เราต้องปลูกฝัง สร้างทางเลือกที่หลากหลาย สอนความเป็นมนุษย์ ภูมิคุ้มกัน สอนด้วยความเข้าใจ สร้างให้เขามีจิตใจดี คิดดี มีคุณธรรม จริยธรรมก็จะตามมา สิ่งเหล่านี้ศิลปะให้ได้ ศิลปะสอนให้ช่วยเหลือแบ่งปัน มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีความละเอียดอ่อน ความสงบ พอเมื่อเราสอนให้มีศิลปะแล้ว การเรียนรู้เรื่องอื่นๆ ก็จะตามมา เรียนในห้องเรียนก็จะมีสมาธิมากขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์ ออกแบบชีวิตตัวเองได้”
ด้วยความแตกต่างของวิถีชีวิต และตัวเด็กทำให้โรงเรียนร้องขี้เหล็กหวนคิด ในการใช้ศิลปะสอดสอดแทรกความรู้ และการเรียนรู้ให้แก่เด็ก เพราะเด็กทุกคนไม่สามารถพัฒนาให้มีความเป็นเลิศในวิชาที่เรียนเท่าเทียมกันได้ และบริบททางการศึกษาควรสอดคล้องกับวิถีชีวิตของสังคมและชุมชนด้วย ร่วมทั้งความเป็นเด็กที่สนใจ เด็กหลายคนที่กำลังวาดรูปอยู่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าชอบวาดรูปสอบเขียนรายสร้างผลงานเป็นของตัวเอง
“ชอบค่ะ เหมือนเป็นการวาดหรือสร้างงานศิลปะที่เป็นของตัวเอง ออกแบบเอง ครูจะสอนว่าให้เรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัว ทุกอย่างสามารถนำมาทำเป็นงานศิลปะได้”
เมื่อถามว่ากว่าจะได้ผลงานแต่ละชิ้นออกมาต้องใช้เวลานาน และมีความยาก น้องๆ ทั้งหลายพากันบอกว่า “ไม่ยากหรอกค่ะ ลองฝึกแล้วจะรู้เอง”
จากคำพูดบ่งบอกให้เราได้รู้ว่า เด็กมีความชอบและมีความตั้งใจผลิตผลงานเหล่านี้ออกมา แม้ว่าแต่ละชิ้นจะใช้เวลาทำนาน แต่พวกเขาก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างไม่ย่อท้อเลย แล้วยังเป็นผลงานที่สวยงามมากด้วย
การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ไม่จำกัดที่และเวลา ขึ้นอยู่กับว่าสังคมให้ความสำคัญกับการเรียนรู้แบบไหน เฉพาะในตำราหรือไม่ หรือต้องการสอนเพื่อไว้ท่องจำ เพราะนี่ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นแล้วว่าการสร้างเด็กให้เก่งต้องเป็นสิ่งที่เด็กรัก และสอดแทรกความรู้คู่ไปกับหลักของความเป็นมนุษย์ หากไม่เช่นนั้น “เก่ง” แต่ “ไม่ดี” เห็นทีประเทศไทยคงต้องใช้โฆษณารณรงค์ “โตไปไม่โกง” กันอีกนาน
ที่มา : เว็บไซต์ปันสุข