สธ.เล็งใช้ กม.จัดการสิ่งแวดล้อมคุมไม่ให้เกิดโรคระบาดหลังน้ำลด

สาธารณสุข เร่งเอกซเรย์พื้นที่หลังน้ำลดทุกจุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาโรคระบาดตามมา โดยให้กรมควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมอนามัย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ อย. ร่วมดำเนินการเฝ้าระวังและป้องกันอย่างเต็มที่ โดยจะมีการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำขังที่มีจำนวนมาก เร่งกำจัดขยะ และอาจพิจารณาใช้กฎหมายคือพระราชบัญญัติการสาธารณสุขพ.ศ.2535 ด้วย หากจำเป็นเพื่อให้การควบคุมโรคบรรลุเป้า

วันนี้ (16 พ.ย. 2554) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข เพื่อติดตามความก้าวหน้าการให้ความช่วยเหลือและการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยปัญหาโรคระบาดที่ตามมากับน้ำท่วม ซึ่งหลายฝ่ายวิตกกังวลอาจจะเกิดขึ้นภายหลังน้ำลด เนื่องจากมีพื้นที่มีผลกระทบกว้างขวางถึง กทม.และปริมณฑล ได้กำชับให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการป้องกันและดูแลเรื่องยา และเวชภัณฑ์มีใช้อย่างเพียงพอ

นายต่อพงษ์ กล่าวต่อว่า ในที่ประชุมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขวันนี้ ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเอกซเรย์พื้นที่น้ำลดทุกตำบลทุกจังหวัด เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดโรคระบาด โดยให้กรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพซึ่งมีกำลัง อสม.ทุกหมู่บ้าน ดำเนินการสำรวจข้อมูลสถานการณ์จริงในพื้นที่ รวมทั้งสิ่งที่จะก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคระบาด เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงลึก และวางแผนความพร้อม ป้องกันควบคุมอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้เกิดโรคระบาด และหากจำเป็นอาจนำกฎหมาย (กม.) คือพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 ซึ่งอยู่ในความดูแลของกระทรวงสาธารณสุข มาใช้เพื่อจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมภายหลังน้ำท่วม เพื่อให้ภารกิจการควบคุมป้องกันโรคบรรลุเป้าหมาย โดยเฉพาะปัญหาขยะ น้ำเน่าเสีย ซึ่งมีจำนวนมากโดยเฉพาะในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล

ทางด้านนายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำแผนฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำลดทั้งหมดแล้ว วัตถุประสงค์หลักคือการป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาดที่สำคัญ 10 โรค เช่น โรคอุจจาระร่วง โรคฉี่หนู โรคไข้หวัดใหญ่ โรคตาแดง โดยได้กำหนดแผนการฟื้นฟูทุกตำบลจะต้องประกอบด้วย 10 เรื่อง ดังนี้ 1.การเปิดบริการในสถานบริการที่ถูกน้ำท่วม ให้สามารถดำเนินการตามปกติ 2.การให้บริการนอกสถานที่แก่ผู้ที่ต้องดูแลเป็นพิเศษได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้พิการ และผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง 3.การซ่อมแซมสถานบริการที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม 4. การเฝ้าระวังโรคทั้งผู้ป่วยในสถานที่พักพิง ในโรงพยาบาล และการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ 5.การป้องกันโรค โดยพื้นที่มีกิจกรรมร่วมกับชุมชนในการป้องกันโรคสำคัญคือโรคฉี่หนู โรคอุจจาระร่วง หรืออาหารเป็นพิษ รวมทั้งโรคไข้หวัดใหญ่

6.การควบคุมโรค โดยมีทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วพร้อมเข้าปฏิบัติการทันทีเมื่อเกิดโรคและภัยสุขภาพภายใน 24 ชั่วโมง 7.การควบคุมคุณภาพอาหารและน้ำ โดยดำเนินการล้างตลาดสด ปรับปรุงระบบประปาให้ปลอดภัยตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก 8.กำจัดขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูล โดยจะมีการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำขังที่มีจำนวนมาก ปรับปรุงคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้กลับสูสภาพปกติ 9.ดูแลสุขภาพจิตผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง และ 10.มีการปฏิบัติงานของ อสม.ในพื้นที่ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค และฟื้นฟูสุขภาพจิต ทั้งนี้ได้มอบหมายให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็นผู้จัดการควบคุมกำกับให้มีการดำเนินกิจกรรมฟื้นฟูในพื้นที่ในระดับตำบล และให้กรมวิชาการต่างๆสนับสนุนด้านวิชาการ และผู้ตรวจราชการเป็นผู้กำกับการปฏิบัติ มั่นใจว่า มาตรการเหล่านี้จะควบคุมไม่ให้เกิดปัญหาโรคระบาดได้

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

Shares:
QR Code :
QR Code