สธ.กำชับเข้มกฎหมายห้ามขายเหล้า-เตรียมประชุมวางมาตรการเคร่งครัด
สาธารณสุข เผยผลสำรวจการขายสุราในสถานที่ห้ามขายและเวลาห้ามขายในช่วงสงกรานต์ พบผู้กระทำผิดเพิ่มขึ้น โดยร้อยละ 58 ขายในสถานที่ห้าม และขายในเวลาห้ามขายร้อยละ 43 ผู้กระทำผิดส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 80 รู้กฎหมาย แต่อ้างต้องการมีรายได้ กลัวเสียขาประจำ รองลงมาเห็นว่าเจ้าหน้าที่ไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และคิดว่าห้ามขายเฉพาะปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่เตรียมประชุมหน่วยงาน วางมาตรการควบคุมให้เคร่งครัดกฎหมายอย่างสม่ำเสมอ
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า เทศกาลสงกรานต์ปีนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้กรมควบคุมโรค สุ่มสำรวจการขายสุราในสถานที่ห้ามขายตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 เน้นที่สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและสวนสาธารณะ และการขายในเวลาห้ามขาย ซึ่งกำหนดให้ขายสุราได้ในช่วงเวลา 11.00-14.00 น. และ 17.00-24.00 น. เนื่องจากมีข้อมูลชัดเจนว่า สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลทุกปีมากกว่าร้อยละ 40 เกิดมาจากเมาสุรา โดยสำรวจในวันที่ 11 ซึ่งเป็นวันก่อนเทศกาล และวันที่ 13 เมษายนซึ่งเป็นวันที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ใน 41 จังหวัด ตรวจที่สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง 1,562 แห่ง สวนสาธารณะ 149 แห่ง พบมีผู้กระทำผิดร้อยละ 58 ส่วนการขายในเวลาห้ามขายสำรวจทั้งหมด 8,063 แห่ง พบทำผิดร้อยละ 43 โดยผู้ค้าร้อยละ 18 หรือเกือบ 1 ใน 5 อ้างว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงความผิด ส่วนผู้ค้าที่รู้กฎหมายมีร้อยละ 83 แต่ทำผิดเพราะกลัวเสียลูกค้าประจำและคิดว่าบังคับใช้เฉพาะปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่ รองลงมาอ้างต้องการมีรายได้และที่ผ่านมาไม่เคยมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง
นายวิทยากล่าวต่อว่า ในการควบคุมผู้ประกอบการขายสุราต่างๆ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ได้ให้กรมควบคุมโรค เพิ่มการประชาสัมพันธ์ผ่านทางสื่อต่างๆ ให้มากขึ้น และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จัดเจ้าหน้าที่ออกตรวจจับอย่างสม่ำเสมอตลอดปีไม่เฉพาะเทศกาล ให้เน้นหนักในชุมชนและสวนสาธารณะ โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีอุบัติเหตุสูง หรือมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสูงใน 10 อันดับแรกต้องมีมาตรการเข้มงวด และกรณีที่มีรายงานเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติทางถนนและเมาสุราด้วย จะให้เจ้าหน้าที่สอบย้อนหลังเอาผิดกับแหล่งขายด้วย เพราะเป็นเรื่องที่กฎหมายห้ามขายอยู่แล้ว ซึ่งปัญหาทั้งหมดนี้ ได้เตรียมประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางมาตรการควบคุมตามกฎหมาย ให้เคร่งครัดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ที่มา: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ