สตรีต้องขังกับหัวใจที่ไม่เคยถูกกักขัง
"ดอกไม้บานในดวงตา ไม่เท่าบานในดวงใจ สิ่งไหนทำให้เราสุขใจ และไม่ทำเดือดร้อนให้คนอื่น เราก็เป็นสุขเอง"
บทกวีจากใจของสตรีต้องขังวัย 52 ปี นามปากกา "สายน้ำนิ่งไหลลึก" หนึ่งในสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการ "จากใจสู่ใจ คุณค่า ความสุข และพลังภายในที่แท้จริง : การพัฒนาความมั่นคงภายในของสตรีต้องขังตามแนวทางจิตตปัญญาศึกษา" โดยเรือนจำกลางขอนแก่น ดำเนินการร่วมกับศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อย่างต่อเนื่องตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา
พวกเธอมักพูดเสมอว่า พื้นที่การเรียนรู้แห่งนี้ เป็นเหมือนกับโรงเรียน เหมือนบ้าน เหมือนครอบ ครัวใหญ่ที่คอยดูแลกัน มัลลิกา ตั้งสงบ หัวหน้าคณะกระบวนการโครงการใจสู่ใจ เล่าถึงกิจกรรมที่นำมาสร้างการเรียนรู้กับสตรีต้องขังว่า "จิตตปัญญาศึกษา" คือ การสร้างสุขภาวะในมิติที่ลึกซึ้งเชิงจิตวิญญาณให้เกิดแก่สตรีต้องขังที่เข้าร่วมโครงการ
"สุขภาวะที่ว่านี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานภายในที่มีความต่อเนื่องและยั่งยืน ส่งผลระยะยาวให้สตรีต้องขังแต่ละคนมีความมั่นคงจากภายใน และสามารถใช้ชีวิตที่มีความสมดุล และเกิดทักษะที่จะปรับตัวให้ดำรงตนได้อย่างเห็นคุณค่าของตนเอง และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขมากขึ้น" มัลลิกาเล่า
หัวหน้าคณะกระบวนการโครงการใจสู่ใจ บอกอีกว่า สำหรับกิจกรรมหลักพื้นฐานที่ทำทุกครั้งได้แก่ การฟังอย่างลึกซึ้ง การภาวนา การกลับมารู้เนื้อรู้ตัว การสำรวจความรู้สึก ณ ปัจจุบันขณะ การได้สะท้อนตัวเอง การฟื้นฟูอำนาจภายใน พลังใจเชิงบวก เช่น การเป็นผู้ให้ความรัก ความกรุณา ความซื่อตรงต่อตนเอง ความเอื้ออาทร ความมั่นคง การยอมรับและปล่อยวาง
"โดยผ่านเครื่องมือหลัก ได้แก่ กิจกรรมการสนทนากลุ่ม โยคะและการภาวนา เขียนสมุดบันทึกและอ่านหนังสือ งานศิลปะ งานละครและการเคลื่อนไหว เน้นการค้นหาและรู้จักตัวเอง การแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ภายใน เพื่อเป็นช่องทางการสื่อสารและการเยียวยาจิตใจของสตรีต้องขัง ตลอดจนการฟังและการตั้งคำถามเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ คิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ คิดด้วยเหตุด้วยผล และการชมภาพยนตร์" หัวหน้าคณะกระบวนการฯ อธิบาย
ส่วนเหตุผลในการเข้ามาทำงานกับสตรีต้องขังนั้น ดร.ประกาศิต กายะสิทธิ์ ผอ.สำนัก 9 บอกว่า สสส.ก้าวเข้ามาทำงานมิติด้านจิตใจมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่ต้องได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มที่มีความเปราะบาง ได้รับผลกระทบทางด้านจิตใจโดยตรงและรุนแรง อาทิ เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ 2.กลุ่มประชากรที่เข้าไม่ถึงสิทธิ์ที่ควรจะได้รับ เช่น กลุ่มแรงงาน และกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นต้น
"สำหรับการทำงานกับผู้ต้องขังในเรือนจำนั้น จะต้องเชื่อมโยงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้ง 3 ระดับ ตั้งแต่การปรับสภาพจิตใจของ 'ผู้ต้องขัง' เองเพื่อให้มีชีวิตได้อย่างปกติสุข ถัดมาที่ 'ผู้ปฏิบัติงาน' ในเรือนจำ คือ มีการฝึกอาชีพเพื่อเตรียมพร้อมในการออกไปใช้ชีวิตในสังคม และสำคัญที่สุด 'สังคม' ที่จะต้องเปิดโอกาสให้พวกเขา" ดร.ประกาศิตย้ำ
ทางด้าน วิธาน สุขเกษม นักทัณฑวิทยาชำนาญการพิเศษ รักษาการแทนผู้บัญชาการเรือนจำกลางขอนแก่น บอกถึงความรู้สึกว่า ได้เห็นแววตาที่สดใสของผู้ต้องขังหญิงหลังจากที่ได้ร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่องกับทางโครงการ ก่อนหน้านี้จะรู้สึกว่าผู้หญิงมักจะมีความซับซ้อนทางอารมณ์ และบางครั้งมีปมในดวงตา ผู้คุมก็ไม่สามารถอ่านใจพวกเธอเหล่านั้นได้
"ผมจะแวะเวียนมาร่วมกิจกรรมอยู่บ่อยครั้ง สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดคือ แววตาที่เปลี่ยนไปของผู้ต้องขังหญิงที่เข้าร่วมโครงการ พวกเธอมีความร่าเริงสดใสมากขึ้น เปิดใจและยอมรับในสิ่งที่เป็นได้ดีขึ้น และที่สุดก็สามารถนำหลักการเรียนรู้เหล่านี้กลับไปช่วยเยียวยาเพื่อนผู้ต้องขังอีกกว่า 500 คนในแดนหญิงได้ด้วย" วิธานกล่าว
การต่อยอดโครงการใจสู่ใจฯ จะใช้สตรีต้องขังในรุ่นนี้เป็น 'ครู' เพื่อสอนให้สตรีต้องขังคนอื่นๆ ได้เรียนรู้ผ่านกระบวนการเช่นเดียวกันนี้ และคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะสามารถลดปัญหาความขัดแย้ง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำผิดวินัยลดลงได้ด้วยการหว่านใจสู่ใจ
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์