ศจย. เผยผลสำรวจพบผู้นำศาสนา ยังคงสูบบุหรี่ 31%

ศจย. เผยผลสำรวจสถานการณ์สูบบุหรี่ในศาสนสถาน พบ ผู้นำศาสนา ยังคงสูบบุหรี่ 31%  รับผู้นำศาสนามีผลกระทบต่อสาธารณชนอาจอมควันตาม  3 ใน 4 เห็นด้วยรณรงค์ไม่ถวาย/ให้ บุหรี่ และมีสิทธิปฏิเสธไม่รับ เพราะเป็นสิ่งเสพติด ผิดหลักศีลธรรม

ศจย. เผยผู้นำศาสนา ยังคงสูบบุหรี่ 31%

ดร.ศิริวรรณ พิทยรังสฤษฏ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า  ปัจจุบันกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้ไม่สูบบุหรี่ ได้กำหนดสถานที่ปลอดบุหรี่ไว้จำนวนมาก ซึ่งศาสนสถานถือเป็นสถานที่หนึ่งที่ห้ามสูบบุหรี่ โดยมีการศึกษาวิจัยเพื่อนำไปสู่การรณรงค์ให้ศาสนสถานเป็นสถานที่ปลอดบุหรี่ โดยศูนย์วิจัยและการจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) และมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ (มสบ.) ร่วมกับ สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลับอัสสัมชัญ ได้ร่วมทำการศึกษา  เรื่อง พฤติกรรมและความคิดเห็นต่อการสูบบุหรี่ของผู้นำศาสนา : กรณีศึกษาพระและผู้นำทางศาสนา ในกลุ่มตัวอย่างผู้นำทางศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม จำนวน 905 ตัวอย่าง ในเขต กทม. และจังหวัดภูมิภาค เช่น เชียงใหม่ ชลบุรี นครราชสีมา และสงขลา ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ค. 52 – 8 มิ.ย. 52 โดยผลการศึกษาพบว่า  ผู้นำศาสนาเกินครึ่ง หรือ 52.7% ระบุว่า เคยสูบบุหรี่/ยาสูบมาก่อน ซึ่งปัจจุบันบางท่านเลิกสูบแล้ว คงเหลือผู้ที่สูบอยู่ในปัจจุบันคิดเป็น 31% ของผู้นำศาสนา โดยผู้ที่เคยลองสูบมีอายุเฉลี่ยที่สูบบุหรี่ครั้งแรก คือ 17 ปี   ประเภทของยาสูบที่ใช้ เป็นประเภทบุหรี่ซองมากที่สุด รองลงมาคือ ยาสูบมวนเอง ยาเส้น ซิก้าร์ ไปป์ เมื่อคิดปริมาณการสูบโดยเฉลี่ยพบว่า อยู่ที่วันละ 11 มวน

ดร.นพดล กรรณิกา ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน  (เอแบคโพลล์)  มหาวิทยาลับอัสสัมชัญ  กล่าวว่า  ที่น่าเป็นห่วงคือ กลุ่มตัวอย่างที่ยังสูบบุหรี่  95% ระบุว่า สูบในเขตศาสนสถาน  สถานที่ที่สูบ คือ ห้องนอนส่วนตัว ใต้ต้นไม้ ในอาคารพักอาศัย สนาม นอกอาคาร สุขา โดยมีเพียง 5% ที่ระบุว่า สูบในขณะที่อยู่นอกศาสนสถาน  ส่วนช่องทางที่ได้บุหรี่/ยาสูบ มานั้น ส่วนใหญ่ซื้อเอง และรองลงมาระบุว่า ฝากบุคคลอื่นซื้อ  และศาสนิกชนนำมาถวาย หรือได้รับจากคนสนิท เมื่อถามว่า กลุ่มตัวอย่าง เคยพบเห็นคนในบริเวณศาสนสถาน สูบบุหรี่/ยาสูบ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาหรือไม่ พบว่า  กลุ่มตัวอย่าง 51.7% ระบุว่าพบเห็นน้อยมาก-ไม่พบเลย ในขณะที่กลุ่มตัวอย่าง 33.4% เคยพบในระดับปานกลาง  และกลุ่มตัวอย่าง 14.9% พบเห็นมาก-มากที่สุด  โดยมาตรการที่พบเห็นว่ามีการใช้ในศาสนสถานมากที่สุด คือ การติดป้ายห้ามสูบบุหรี่/ยาสูบ รองลงมา คือ มาตรการสั่งสอน ตักเตือน

“เมื่อถามกลุ่มตัวอย่าง พบว่า กลุ่มที่อยากจะเลิกสูบยามี 57.2% โดยให้เหตุผลว่า ทราบว่าการสูบบุหรี่ไม่ดีต่อสุขภาพ ทำให้เกิดโรคประจำตัวต่างๆ ทำให้โรคกำเริบ และบุหรี่มีราคาแพงขึ้น  ในขณะที่ 24.5% ของกลุ่มตัวอย่างที่ยังสูบบุหรี่ ระบุว่า คิดจะเลิกสูบบุหรี่ แต่ไม่ใช่ในเร็วๆ นี้  และ 18.3% ระบุว่า ยังไม่คิดเลิกสูบบุหรี่ เพราะเวลาไม่สูบจะหงุดหงิด  โดยกลุ่มตัวอย่าง 3 ใน 4 ระบุว่า การที่ผู้นำศาสนาสูบบุหรี่ ทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบในเยาวชนได้” ดร.นพดล กล่าว

ดร.นพดล  กล่าวว่า  ผลการศึกษาครั้งนี้ ยังชี้ให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่  85.3% เห็นด้วย หากจะ “รณรงค์” ไม่ให้ ศาสนิกชนถวาย/ให้บุหรี่/ยาสูบ แก่ผู้นำทางศาสนา  มีเพียง 6.9% ระบุไม่เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ระบุว่าการสูบบุหรี่ต่อหน้าสาธารณชนเป็นเรื่องไม่เหมาะสม และยังไม่เห็นด้วยในการถวายบุหรี่/ยาสูบของศาสนิกชน โดยกลุ่มตัวอย่างครึ่งหนึ่ง หรือ 55.1% เห็นว่า ผู้นำศาสนาควรจะปฏิเสธ หากศาสนิกชนนำบุหรี่/ยาสูบ มาถวาย โดยให้เหตุผลว่า ไม่เหมาะสมเพราะเป็นสมณเพศ ไม่ควรยุ่งกับสิ่งเสพติด ซึ่งถือว่าเป็นการผิดวินัย โดย 92.4% ระบุว่า บุหรี่/ยาสูบ ถือเป็นสิ่งเสพติด นอกจากนี้ ยังเห็นด้วยกับผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ว่า “วัด / โบสถ์ /มัสยิด ควรมีบทบาทในการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ เช่น แนะนำผู้ที่ต้องการเลิก ติดป้ายรณรงค์ และเข้าร่วมกับชุมชนเพื่อให้ความรู้ ควบคู่ไปกับทำให้ศาสนสถานปลอดบุหรี่ โดยการใช้ป้ายรณรงค์ ถือเป็นมาตรการที่สำคัญ และทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อปฏิบัติตามกฎกระทรวงอย่างเคร่งครัด”

ด้าน ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ  เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่  กล่าวว่า  ผู้นำศาสนาเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไป  และเป็นผู้นำทางความคิดของสังคม  สมควรอย่างยิ่งที่จะเข้ามาแสดงบทบาทนำในการแก้ปัญหาการสูบบุหรี่  ซึ่งสาเหตุของการป่วยและเสียชีวิตก่อนเวลาที่สำคัญที่สุดของคนไทย  ปีละ  48,000  กว่าคน  ทั้งนี้ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่  19  ได้กำหนดให้ศาสนสถานอันรวมถึงวัด  มัสสยิดและโบสถ์ ต้องปลอดบุหรี่ทั้งหมด  ผู้นำศาสนาทุกคนจึงควรเป็นแบบอย่าง  โดยไม่สูบบุหรี่ในบริเวณวัด  มัสยิด  และโบสถ์  ยกเว้นในกุฏิส่วนตัว  หรือที่ที่ลับตาประชาชนทั่วไป  เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนทั่วไป

 

 

ที่มา : สำนักข่าว สสส.

 

Shares:
QR Code :
QR Code