วิถีชีวิตพอเพียงคือคำตอบ…
เหตุคนแพร่มีความสุขติดอันดับต้นของประเทศ
“หม้อฮ้อม ไม้สัก ถิ่นรักพระลอ ช่อแฮศรีเมือง ลือเลื่องแพะเมืองผี คนแพร่นี้ใจงาม” คำขวัญ จ.แพร่ บ่งบอกได้ดีถึงความเป็นจังหวัดที่สงบสุขและมีวัฒนธรรมยาวนานถ้าดูกันในด้านเศรษฐกิจแล้ว แพร่เป็นจังหวัดที่ค่อนข้างยากจน ตกอยู่ในอันดับท้ายๆ ในจำนวน 17 จังหวัดภาคเหนือ เพราะสภาพภูมิประเทศโดยรวมของพื้นที่แม้จะมีมากถึง 4 ล้านไร่เศษ แต่กว่าร้อยละ 80 เป็นป่าเขา ซึ่งตามกฎหมายแล้วไม่สามารถใช้เป็นพื้นที่ทำกินได้เหลือพื้นที่ใช้สอยเพียงร้อยละ 20 ซึ่งครึ่งหนึ่งถูกใช้เป็นพื้นที่อยู่อาศัย ทำให้พื้นที่ทำกินจริงๆ มีเพียงร้อยละ 10 หรือเพียง 4 แสนกว่าไร่เท่านั้นเทียบกับประชากรปัจจุบันที่มี 4.7 แสนคน ก็เรียกได้มีพื้นที่ไม่ถึง 1 ไร่ต่อประชากรแต่ละคน
แต่จังหวัดแพร่ กลับถูกจัดอันดับจากโครงการ Child Watch ให้เป็นจังหวัดที่น่าอยู่อันดับ 1 ของประเทศไทยเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมานี้ สอดคล้องกับรายงานสุขภาพไทยคนไทยปี 2550 ที่บ่งชี้ว่าความสุขมวลรวมของภาคเหนือจะสูงกว่าทุกภาคในประเทศไทยโดยปัจจัยสำคัญที่นำมาสู่ความสุขที่ยั่งยืนก็คือ “วิถีชีวิตแบบพอเพียง”
ปลายปี 2550 นี้ จังหวัดแพร่ได้รับเลือกในฐานะตัวแทน 17 จังหวัดภาคเหนือ เป็นเจ้าภาพจัด “งานสร้างสุขภาคเหนือ” ปี 2550 ว่าด้วย “สุขแบบพอดี ด้วยวิถีพอเพียง” ที่สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
นพ.ชาญชัย ศิลปอวยชัย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่ กล่าวว่า แน่ใจว่าแม้แพร่จะเป็นจังหวัดที่ยากจน แต่ประชาชนมีความสุข ครอบครัวอบอุ่น จำนวนเยาวชนที่เรียนต่อมหาวิทยาลัยเป็นอันดับ 1 ของภาคเหนือ ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับการศึกษาของบุตร นอกจากนั้นเมืองแพร่ไม่มีปัญหาเรื่องเยาวชน แก๊งค์วัยรุ่น เด็กเมืองแพร่ ส่วนใหญ่ยังนิยมไปวัดกับพ่อแม่ เมื่อเห็นว่าในเรื่องสุขภาวะน่าจะพอดอวดคนอื่นได้ จึงได้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานสร้างสุข ที่จะเกิดขึ้นในเดือน พฤศจิกายนที่จะถึงนี้
“สถาบันพัฒนาผู้นำท้องถิ่น” ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.สูงเม่น ก็เป็นตัวอย่างสำคัญอย่างหนึ่งที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดแพร่จะหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างให้ผู้มาเยือนจากจังหวัดอื่นๆ ได้ชมในแง่ของการปลูกฝังเรื่องแนวคิดความเป็นอยู่ตามวิถีพอเพียงให้กับประชากร
สถาบันพัฒนาผู้นำท้องถิ่นเริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2548 โดย อบจ.แพร่ เพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ ถ่ายทอดเทคโนโลยี สอนวิชาชีพด้านต่างๆ ให้เกษตรกรและผู้สนใจสามารถนำไปทำจริงตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง โดยในพื้นที่ของสถาบัน จะมีการสาธิตกิจกรรมหลากหลาย แต่ที่โดดเด่นและได้รับความสนใจอย่างมากก็คือ การสาธิตการเลี้ยงหมูหลุม หรือการเลี้ยงหมูอินทรีย์ ไว้บนหลุมที่ใส่ดิน แกลบและเกลือ ให้หมูกินผักตลอดทั้งวัน มีการผสมสมุนไพร จุลินทรีย์ผลไม้ในน้ำดื่มให้เข้าไปในร่างกายหมูทำให้มูลของหมูไม่เหม็นและยังมีการราดพื้นคอกด้วยน้ำจุลินทรีย์ที่หมักเองทำให้คอกไม่มีกลิ่น และยังได้ปุ๋ยจากพื้นคอกเอาไปใส่ผักแทนปุ๋ยเคมีได้อีกด้วย การเลี้ยงกบคอนโดนคือการเลี้ยงกบไว้ในยางรถยนต์ที่เรียงสูงเป็นชั้นๆ โดยยาง 1 วงจะเลี้ยงกบได้ 50 ตัว ซึ่งการเลี้ยงแบบนี้แทบจะไม่ต้องลงทุนเลย เพราะตอนกลางวันจะใช้ฝาชีครอบไว้ ตกกลางคืนจะเปิดฝาชีและเปิดหลอดไฟเหนือยางรถยนต์ เพื่อล่อให้แมลงมาตอมไฟแล้วตกลงไปเป็นอาหารของกบ ซึ่งใช้เวลาเลี้ยงแค่ 2 เดือน จะได้กบตัวโต (3 ตัว 1 กิโลกรัม) ขายได้กิโลกรัมละ 20 บาท
นอกจากนั้นยังมีการสาธิตการเลี้ยงไข่มดแดง ที่ไม่ต้องลงทุนเช่นกัน โดยการเอาอาหารและน้ำไปผูกไว้กับต้นไม้ ภายใน 7 วันจะมีมดแดงมาทำรังประมาณ 10 รัง ผ่านไป 20 วันจะมีถึง 60 รัง สร้างรายได้ได้มากขนาดที่ขายมะม่วงหมดทั้งต้น ยังได้ถูกกว่าขายไข่มดแดงซึ่งขายได้ถึงกิโลกรัมละ 200 บาท นับว่าเป็นวิถีชีวิตพอเพียงแบบภูมิปัญญาชาวบ้านที่ไม่ต้องลงทุนเลย
“ทั้งหมดจะเน้นภูมิปัญญาชาวบ้าน คือเอาชาวบ้านมาสอนชาวบ้าน ไม่เอานักวิชาการหรือเจ้าหน้าที่เกษตรมาสอน แต่จะให้มาเรียนกับชาวบ้าน ซึ่งสถาบันรูปแบบนี้นับว่าเป็นแห่งแรก ในประเทศไทย” นพ.ชาญชัยกล่าว
อ้อยใจ บุญหล้า ผอ.สถาบันพัฒนาผู้นำท้องถิ่น กล่าวว่าเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาสถาบันถูกใช้เป็นสถานที่จัดอบรมมาแล้วกว่า 100 โครงการทั้งการอบรมอาชีพให้เกษตรกรทั้งในแพร่และในจังหวัดใกล้เคียง และอบรมเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 17 จังหวัดภาคเหนือ ผลที่เห็นเป็นรูปธรรมก็คือตอนนี้มีเกษตรกรกว่า 200 รายที่เลี้ยงหมูหลุมในจ.แพร่
“เชื่อว่าสถาบันฯ สามารถช่วยชาวบ้านได้เยอะมาก เพราะพวกเขาไม่มีที่พึ่งพิงที่ไหน หากเขามีอาชีพก็จะสามารถสร้างรายได้พึ่งตนเองได้ โดยอาชีพที่แนะนำที่นี่ไม่ต้องใช้การลงทุนมาก และหากไม่มีทุนจริงๆ ที่นี่ก็พร้อมสนับสนุน” อ้อยใจกล่าว
นอกจากให้ความสำคัญกับเรื่องความเป็นอยู่อย่างพอเพียงของประชาชนในจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังได้ให้ความสำคัญกับความสุขทางใจ เรื่องของวัฒนธรรม ที่จะมีการจัดพื้นที่บวกทางสังคมเพื่อให้เด็กและเยาวชนมาแสดงออกที่ “ลานวัฒนธรรม” และการให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เช่นที่ “คุ้มเจ้าหลวง” ซึ่งเป็นบ้านของเจ้าผู้ครองนครแพร่องค์สุดท้าย อายุกว่า 115 ปี ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีจนได้รับรางวัล “สถาปัตยกรรมไทยดีเด่น” จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ซึ่งมีเพียง 2 แห่งเท่านั้นคือ จ.แพร่ และ จ.พระนครศรีอยุธยา อาคารหลังนี้จึงนับว่าเป็นโบราณสถานที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมของชาวแพร่ที่มีมนต์ขลัง
เรียกได้ว่าจังหวัดเล็กๆ แห่งนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่น่าสนใจและน่าศึกษาว่าทำไมประชาชนชาวแพร่ถึงเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุดจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย
เรื่องโดย : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
Update : 14-07-51