วิจัยพบเด็กอีสาน”เตี้ย”ขาด”ธาตุสังกะสี”

แนะ เน้นกินเนื้อสัตว์มากขึ้น   

 วิจัยพบเด็กอีสาน”เตี้ย”ขาด”ธาตุสังกะสี”

          นักวิจัยนานาชาติเผย  แร่ธาตุสังกะสีเป็นสารอาหาร  “น้องใหม่มาแรง”  ของโลก  สำคัญเทียบเท่าวิตามินเอ  ธาตุเหล็ก  ไอโอดีน  มีคุณสมบัติทำให้เด็กตัวไม่เตี้ยหรือแคระแกร็น  ป้องกันโรคท้องร่วง  นิวมอเนีย  ในไทยพบเด็กตัวเตี้ยเพราะขาดแร่ธาตุสังกะสี  10-12%  ภาคอีสานมากที่สุด  นักวิชาการแนะปรับโภชนาการเน้นกินเนื้อสัตว์มากขึ้น   

 

ในการประชุมโภชนาการนานาชาติ  ครั้งที่  19  ที่จัดขึ้น    ศูนย์ไบเทค  บางนา  ได้มีการบรรยายพิเศษ  “แร่ธาตุสังกะสีกับสุขภาพ”  โดยมี ศ.ดร.เคนเน็ธ บราวน์  นักโภชนาการและกุมารแพทย์ที่มีชื่อเสียงจาก ม.แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา, ศ.โรซาลิน  กิ๊บสัน  นักโภชนาการที่มีชื่อเสียงจาก  ม.โอตาโก นิวซีแลนด์ และ รศ.พัตธนี วินิจจะกูล จากสถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล ร่วมบรรยายผลงานวิจัยเกี่ยวกับธาตุสังกะสีกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก  ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย  และสมาพันธ์โภชนาการ

 

          ศ.ดร.เคนเน็ธกล่าวว่า  กว่าที่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ  คณะผู้วิจัยแร่ธาตุสังกะสีจะประมวลบทสรุปได้ว่าแร่ธาตุสังกะสีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก  ก็กินเวลานานกว่า  20  ปี  ผลการวิจัยพบว่า  แร่ธาตุสังกะสีเป็นแร่ธาตุน้องใหม่มาแรงที่มีความสำคัญมาก  เท่าเทียมกับวิตามินเอ  ธาตุเหล็ก  ไอโอดีน  ที่เป็นแร่ธาตุที่สำคัญในการเจริญเติบโตของเด็ก  จากการวิจัยพบว่าแร่ธาตุสังกะสีสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคท้องร่วง  และโรคนิวมอเนียในเด็กได้  โดยโรคภัยทั้ง  2  ชนิดนี้  มักเกิดขึ้นกับเด็กๆ  ในประเทศกำลังพัฒนา  ซึ่งบริการทางการแพทย์มักเข้าไม่ถึง  ผลการศึกษาพบว่า  หากให้แร่ธาตุสังกะสีกับเด็กจะช่วยลดอัตราการเกิดโรคท้องร่วง  27%  และช่วยลดการเกิดโรคนิวนิวมอเนียในเด็กได้  15%

 

          ส่วนการทำงานของแร่ธาตุสังกะสี  พบว่า  นอกจากช่วยทำให้อาการโรคท้องร่วงและนิวมอเนียดีขึ้นแล้ว  ยังทำหน้าที่ช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดโรคต่างๆ  ได้อีกด้วย  องค์การอนามัยโลกจึงแนะนำว่าควรเสริมแร่ธาตุสังกะสีในอาหารแก่กลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาต่อไป

 

          “ในแง่การเจริญเติบโตของร่างกายพบว่า  แร่ธาตุสังกะสีมีคุณสมบัติในการยึดเกาะโปรตีนสำคัญที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก  ซึ่งหากเด็กขาดแร่ธาตุชนิดนี้ก็จะทำให้ตัวเตี้ย  ร่างกายแคระแกร็น   ปัจจุบันพบว่าเด็กในแถบแอฟริกา  และเอเชียใต้มีปัญหาตัวเตี้ยประมาณ  40%  และเฉลี่ยทั่วโลกมีเด็กที่ส่วนสูงไม่มากเท่าที่ควรเพราะขาดแร่ธาตุสังกะสีมีประมาณ  30%”

 

          ศ.ดร.เคนเน็ธ  กล่าวถึงปัญหาการขาดแร่ธาตุสังกะสีในไทยพบว่า  มีความเสี่ยงในระดับปานกลาง  โดยเฉลี่ยอยู่ในอัตรา  10-12%  โดยเฉพาะเด็กในแถบภาคอีสานขาดแร่ธาตุสังกะสี  12.3%  ภาคเหนือ  10.4%  ภาคกลาง  8.9%  และภาคใต้สูงถึง  18.3%  โดยเด็กที่ขาดแร่ธาตุสังกะสีจะมีส่วนสูงและน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน

 

          รศ.พัตธนี  กล่าวว่า  ภาวะขาดแร่ธาตุสังกะสีในเด็กทารกและเด็กนักเรียน  ที่  ศ.ดร.เคนเน็ธกล่าวถึงเป็นผลวิจัยของสถาบันวิจัยโภชนาการ  ซึ่งในรายละเอียดของการวิจัยได้ทำการวิจัยทารก  200 คนใน  จ.อุบลราชธานีเมื่อช่วงประมาณ  10  ปีที่ผ่านมา  โดยการเจาะเลือดพบว่าเด็กขาดแร่ธาตุสังกะสีประมาณ  34%  ส่วนการวิจัยนักเรียนระดับประถม  600  คน  รร.เทศบาลใน  จ.อุบลราชธานี  ทำเมื่อ  4-5 ปีก่อน  ซึ่งการวิจัยเด็กกลุ่มนี้เกิดจากการสังเกตุเห็นเด็กนักเรียนบางกลุ่มมีรูปร่างเตี้ยไม่สูงเท่าที่ควร  และเมื่อเจาะเลือดก็พบว่าเด็กกลุ่มนี้ขาดแร่ธาตุสังกะสีประมาณ  44%  นอกจากนี้  จากการสุ่มตรวจเมื่อปีก่อนที่ภาคใต้ใน  จ.สตูลก็พบว่าขาดแร่ธาตุสังกะสีถึง  18%  หรือตัวเตี้ยแคระแกร็นประมาณ  30%

 

          สาเหตุของการขาดแร่ธาตุสังกะสี   รศ.พัตธนี  กล่าวว่า  น่าจะมาจากปัญหาเศรษฐกิจ  ความยากจน  และความไม่รู้ของประชาชน  โดยพบว่าเด็กอีสานส่วนใหญ่กินข้าวเป็นอาหารหลัก  สัดส่วนมากถึง  70%  และกินเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นแหล่งแร่ธาตุสังกะสีน้อยกว่ามาตรฐาน  นอกจากนี้  แม้ว่าในข้าวจะมีแร่ธาตุสังกะสีอยู่บ้าง  แต่ด้วยวิธีการหุงโดยเฉพาะข้าวเหนียวที่คนอีสานจะต้องแช่ข้าวค้างคืนก่อนนำมาหุง  ทำให้แร่ธาตุต่างๆ  สูญเสียไปกับน้ำที่แช่ไปทั้งหมด

 

          “เราไม่รู้สึกพอใจกับอัตราขาดแร่ธาตุสังกะสี   10-12%   ไม่ใช่พอรู้ว่าขาดก็เติมลงไป   แต่จริงๆ  ไม่ใช่  เพราะอาหารก็เหมือนยา  สังกะสีมีส่วนในการป้องกันโรค  ในบ้านเรายังมีพื้นที่ที่ห่างไกล  รพ.  และมีเด็กขาดแร่ธาตุนี้ที่มักจะเจ็บป่วยบ่อย  เกิดอาการท้องร่วง  กว่าจะไปหาหมอบางครั้งอาจไม่ทันเสี่ยงต่อการเสียชีวิต  ดังนั้น  จึงไม่ควรให้เด็กขาดแร่ธาตุสังกะสีที่มีส่วนช่วยทำให้ร่างกายเด็กเติบโต  และป้องกันการเกิดโรคต่างๆ  ในเวลาเดียวกัน”  รศ.พัตธนีกล่าว

 

          ด้าน  ศ.โรซาลิน  กล่าวถึงการแก้ปัญหาการขาดแร่ธาตุสังกะสีในเด็กว่า  ควรเน้นให้ความสำคัญการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในทารกไม่ต่ำกว่า  6  เดือน  เพราะน้ำนมมารดาเป็นแหล่งที่ดีของธาตุสังกะสี  และเน้นให้บริโภคเนื้อสัตว์  พวกเนื้อแดง  เป็ด  ไก่และปลาเพิ่มขึ้น  ส่วนในภาคอีสานของไทยที่สภาพดินเพาะปลูกมีปัญหาขาดแร่ธาตุสังกะสี  ก็ควรมีการเติมปุ๋ยที่มีแร่ธาตุสังกะสีลงไป  หรืออาจต้องมีการปรับ

ปรุงพันธุ์พืชพวกข้าวที่เป็นอาหารหลักของคนในชนบทให้มีแร่ธาตุสังกะสีมากขึ้น  นอกจากนี้  ยังควรลดอาหารบางอย่าง  เช่น  แป้งข้าวโพด  ที่ไปขัดขวางการดูดซึมแร่ธาตุสังกะสีในอาหารด้วย

 

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

 

 

update: 08-10-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: อัญณิกา กฤษสมัย

 

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

ระบุข้อความ