วิจัยชี้ความรุนแรงในบ้าน-ร.ร.พุ่งตามไฟใต้
ระบุเด็กเครียดรายวัน เหตุพ่อแม่-ครูลงโทษด้วยการเฆี่ยนตีมากขึ้น
กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟจัดแถลงข่าวผลการวิจัยเกี่ยวกับทัศนคติของเด็กที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น ผ่านการศึกษาวิจัยเรื่อง “วันเวลาแห่งความหวาดกลัว การรับรู้ของเด็กต่อการดำเนินชีวิตในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย”
นายเศรษฐกิจ อรรคนิมาตย์ เจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็ก ยูนิเซฟ (ประเทศไทย) กล่าวว่าองค์การเอกชนไทยคือ knowing children และองค์กรพันธมิตรภาคใน 4 องค์กร ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) วิทยาเขตปัตตานี กลุ่มเพือนหญิงไทยมุสลิม กลุ่มปัตตานี กลุ่มเพื่อหญิงไทยมุสลิม กลุ่มลูกเหรียง และสมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย
โดยงานชิ้นนี้ใช้เวลาศึกษา 2 ปีเต็ม ระหว่างปี 2549-2550 เก็บข้อมูลจากเด็กทั้งมุสลิมและพุทธ อายุระหว่าง 7-17 ปี จำนวน 2,357 คน ในจังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา และบางอำเภอในจังหวัดสงขลา รวมถึงผู้ใหญ่อีก 717 คน ในพื้นที่ภาคใต้ และเก็บข้อมูลเพื่อ 717 คน ในพื้นที่ภาคใต้ และเก็บข้อมูลเพื่อเป็นตัวอย่างจากลุ่มเด็ก 283 คน ในกทม.และกาญจนบุรี
เพื่อหาตัวอย่างที่แตกต่างออกไปจากกลุ่มเด็กที่อยู่ต่างสถานที่และต่างสถานการณ์ ใช้เครื่องมือในการศึกษาวิจัย 10 แบบ เช่น การวาดภาพ การเขียนเรียงความการเปิดโอกาสให้เติมคำในช่องว่าง เพื่อสำรวจทัศนคติ โดยเด็กในพื้นที่มีส่วนร่วมในการออกแบบเครื่องมือในการศึกษาด้วย ทำให้ได้ข้อมูลกลับมาทั้งหมดทั้งสิ้น 11,444 ข้อมูล
นายเศรษฐศักดิ์กล่าวต่อไปอีกว่า ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น เด็กในพื้นที่ดังกล่าวได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ปัญหาผลกระทบต่อเด็กกลับถูกบดบังด้วยปัญหาอื่นๆ และมีการทำวิจัย ในเรื่องดังกล่าวค่อนข้างน้อย
ซึ่งจากข้อมูลทั้งหมดพอจะสรุปได้ว่า ปัญหาที่เด็กในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความกังวลค่อนข้างมากคือ ความกังวลเกี่ยวกับยาเสพติดโดยเฉพาะยาบ้า กัญชา ใบกระท่อม
ซึ่งจากการสอบถามเด็ก 42% จาก 1,084 คน พบว่า พวกเขารู้ว่าคนในหมู่บ้านคนใดติดตาเสพติดโดยเฉพาะกลุ่มเด็กผู้ชาย ซึ่งเด็กหลายคนให้ข้อมูลว่า ยาเสพติดเป็นสิ่งที่อันตรายและน่ากลัวที่สุดสำหรับพวกเขา
นอกจากนี้ เด็กส่วนใหญ่ให้ข้อมูลว่านอกจากสถานการณ์ในชุมชนจะมีมากแล้ว ในโรงเรียนและในบ้านก็พบว่า ครูก็ยังใช้วิธีลงโทษด้วยการตี ซึ่งพวกเขาคิดว่ารุนแรง และอีกจำนวนไม่น้อยระบุว่าถูกพ่อแม่ลงโทษด้วยการเฆี่ยนตีอย่างรุนแรงมากขึ้น หลังจากสถานการณ์ความไม่สงบรุนแรงมากขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม เด็กส่วนใหญ่ก็ยังคิดครูเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ใจดีที่สุด และคิดว่าบ้านเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในชุมชน รองลงมาคือสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา
นายเศรษฐศักดิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งที่ตัวอย่างส่วนใหญ่ของเด็กมีทัศนคติเชิงบวกอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็นต่อเจ้าหน้าที่รัฐ หรือบุคคลต่างศาสนา หรือแม้กระทั่งโจรใต้ที่ก่อความไม่สงบให้แก่พวกเขาก็ตาม
เพราะจากการสำรวจพบว่า แม้เด็กๆ จะประสบกับความกังวลและความเครียดในชีวิตประจำวัน แต่ไม่มีเด็กคนใดที่จะแสดงความคิดเห็นด้านลบต่อศาสนาอื่น ไม่มีเด็กคนใดเห็นว่าศาสนาคือต้นเหตุของการก่อความไม่สงบ ทั้งเด็กไทยพุทธและมุสลิมต่างสนิทสนมกัน และมิตรภาพของพวกเขาก็เคารพต่อความเชื่อมั่นของกันและกัน
ด้านทัศนติต่อเจ้าหน้าที่รัฐพบว่า เด็กไม่ได้มีทัศนคติเชิงลบต่อเจ้าหน้าที่ที่ติดอาวุธไม่ว่าทหารหรือตำรวจ แต่จะทำความรู้จักผู้ติดอาวุธนั้นๆ เป็นรายบุคคล โดยการเรียกชื่อและทำความรู้จักกับพวกเขาโดยไม่มองว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ แต่เด็กจะกังวลว่าเมื่อทหารหรือตำรวจอยู่รวมกันมากๆ จะเป็นเป้าหมายของกลุ่มก่อความไม่สงบ
ดังนั้น เด็กๆ จึงหลีกเลี่ยงที่จะไปอยู่กลางกลุ่มเจ้าหน้าที่ ซึ่งคำตอบข้อนี้ของเด็กๆ แสดงให้เห็นชัดเจนว่ามุมมองต่อทหาร ตำรวจ ผู้ติดอาวุธจะมีความสัมพันธ์เป็นรายบุคคลมากกว่า
เจ้าหน้าที่ยูนิเซฟรายนี้ กล่าวต่อว่า ข้อสนใจอีกด้านต่อไปคือ 1 ใน 3 ของเด็กผู้ตอบคำถามระบุว่า ไม่มีความรู้สึกอยากแก้แค้นกลุ่มโจรใต้ ที่มาฆ่าบุคคลในครอบครัวและก่อความไม่สงบในพื้นที่ ขณะที่ 1 ใน 3 ไม่ออกความคิดเห็น และอีก 1 ใน 3 แสดงความเห็นว่า โกรธและอยากแก้แค้น
ที่มา: หนังสือพิมพ์astvผู้จัดการ
update 12-12-51