วัยรุ่นกับเส้นทางระหว่าง “โรงเรียน” สู่ “เรือนจำ”
หลายปัญหาของวัยรุ่น มีรากเหง้าจากเรื่องเดียวกัน ซึ่งแตกออกมาเป็นปรากฏการณ์ที่ชายกับหญิงไม่เหมือนกัน ในแต่ละปีมีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ถูกจับราว 35,000 กว่าคน ซึ่ง 90% เป็นผู้ชาย ที่เหลือเป็นผู้หญิง แต่เด็กผู้หญิงจะรวมเข้ากับปรากฏการณ์ “ท้องไม่พร้อม” ด้วย
“ทิชา ณ นคร” ผู้อำนวยการศูนย์อบรมเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก อธิบายว่า ในจำนวนเด็กที่ถูกจับ 90% ข้างต้น มีเด็ก 66.81% ที่ออกโรงเรียนกลางคัน พูดได้ว่า “เมื่อไรที่ผู้ใหญ่ปิดประตูโรงเรียนใส่เด็ก ประตูคุกก็รอต้อนรับพวกเขาทันที” เพราะในวินาทีที่ไม่มีที่เหมาะสมให้เขาไป ถึงที่สุดแล้ว เขาอาจต้องเข้าสู่สถานการณ์บางอย่าง
จากนั้นเด็กจะอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ ฉายภาพซ้ำจากสื่อทีวี และถูกซ้ำเติมอีกหลายรอบจากหลายคน จนเด็กเหล่านี้จึงมีความเชื่อที่แข็งแรงว่า “กูดีไม่ได้อีกแล้วชาตินี้ ก็ต้องเป็นอย่างนี้”
เมื่อถูกจับเข้าสถานพินิจ ทันทีที่ศาลอ่านคำพิพากษาว่า ต้องอยู่ในสถานควบคุม identity ของเด็กก็บอกว่า “จบแล้วชีวิตกู” อาชญากรเด็กจึงค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ไม่ได้ใฝ่ฝัน ไม่ได้นิมิตเอาไว้ในวันที่ออกมาจากท้องแม่ ว่าถึงที่สุดกูจะเป็นคนแบบนี้ให้ได้ แต่มันเกิดขึ้นทีละนิดๆ และทันทีที่เกิดเป็นรูปธรรม สังคมไทยจะบอกว่า มันเป็นเรื่องของเด็กคนนั้น ทั้งที่จริงๆ มันเป็นส่วนผสมของหลายๆ ส่วนจนกลายเป็นปรากฏการณ์ของเขา
เด็กที่ออกจากโรงเรียนกลางคันเพราะอะไร?
“เราต้องเข้าใจก่อนว่า เด็กบางคนไม่ได้เรียนเก่ง แต่อาจเด่นในเรื่องอื่น ในโลกนี้ก็ไม่ได้ต้องการคนที่มาเป็นแค่หมอ หรือวิศวกรกันทั้งประเทศ จริงๆ ผู้ใหญ่ต้องปลดล็อคอะไรบางอย่างที่พันธนาการเราอยู่ เราอาจไปติดกรอบกับอะไร เช่น ถ้าเราเห็นเด็กบางคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือเก่ง เขาอาจเป็นนักดนตรีก็ได้ เป็นช่างก็ได้”
หนึ่งในข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่พยายามค้นหาธุรกิจขนาดเล็กในประเทศ พบว่า มีอาชีพอีกนับล้านที่ไม่ได้อยู่ในกรอบที่ครูแนะแนวบอก ซึ่งเราต้องทะลายกำแพงนี้ออกไปให้ได้ คนจะเป็นอะไรก็ได้อีกตั้งหลายอย่าง ที่สำคัญ คนที่ไปเป็นแทนความฝันคนอื่นต่างหากที่จะอยู่ไม่ได้
ภาวะที่เด็กต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน อาจทำให้เส้นทางชีวิตของเขาบิดเบี้ยวไปได้ เพราะมองไปที่โรงเรียนก็ล้วนเต็มไปมาตรการและความคาดหวัง มีการจัดการที่ดูเหมือนงดงาม แต่เด็กบางคนไปไม่ถึง เด็กบางคนสมัครใจออกจากโรงเรียนเองหรือบางคนถูกครูขอให้ออก ส่วนใหญ่เป็นเหตุผลของความไม่พอดี เมื่อเขาเผชิญปัญหา เด็กอายุขนาดนี้จะไปไหน ตรงไปทำงานโรงงาน นั่งวางแผนว่าเทอมหน้าจะหาโรงเรียนที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง หรือคิดว่าเทอมหน้าจะเอาบทเรียนจากครั้งที่แล้วมาใช้ ไม่มีสิ่งนี้อยู่ในหัวเด็กๆ ซึ่งเขาไม่ได้ชั่ว เพียงเพราะเขาไปไม่ถึงเป้าหมายของชีวิต ด้วยวุฒิภาวะยังน้อย
ทำไมครูต้องเรียนรู้จาก “เรือนจำ” ?
คณะครูที่มาดูงานจะได้เจอกับเด็ก 2 คน ต่อครู 10 คน เมื่อพาทัวร์ที่นี่ เด็กจะนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ทำให้ครูได้พูดคุยกับเด็ก แล้วครูจะพบว่าต้นทุนของเด็กเปลี่ยนได้จริง ทั้งวิธีคิดและวิชาชีวิต สิ่งที่บ้านกาญจนาฯ พยายามให้กับพวกเขา คือคลายสิ่งที่เรียกว่า dead lock เท่าที่เราค้นพบในตัวเขา เช่น การติดพึ่งพิงคนอื่น ความเชื่อที่ถูกบ่มถูกสอนแคบๆ ให้มีเพียงขาวกับดำ ฯลฯ ในวันที่เรารับเด็กใหม่ จะมีพิธีผูกข้อมือ รับขวัญ กอด จากนั้นจะถามด้วยคำถามที่เด็กต้องตอบลงในกระดาษ “ไปทำอะไรมาล่ะลูก พวกเขาจึงส่งหนูมาอยู่ที่นี่”
แม้คำตอบจะต่างกัน แต่ก้อนความคิดที่คล้ายกันคือ เด็กเชื่อในสมการชีวิตเป็นสูตรตายตัวว่า “ผมไม่มีพ่อ ไม่มีแม่” ถ้าไม่เข้าองค์ประกอบอันสวยงามตามที่สังคมบอก เขาจะต้องมีปัญหา และเขาก็มีปัญหาจริงๆ เพราะความเชื่อเหล่านี้ นั่นเป็นเพียงการส่งต่อระบบคิดของผู้ใหญ่ แต่กลับไปหล่นในหัวใจของเด็ก
ที่บ้านกาญจนาฯ จะคลี่คลายสิ่งเหล่านี้ด้วยวิชาชีวิต ซึ่งเด็กจะได้เรียนถึง 50% ของบทเรียนทั้งหมด และหนึ่งในนั้นคือวิชา “ผู้รอดบนความขาดพร่อง” ที่ให้เด็กทุกคนเรียนก็เพื่อล้างความเชื่อที่ว่า “พร่องมันจะไม่รอด” ซึ่งเรานำเขากลับไปที่จุดเดิมเพื่อใส่คำว่า “รอดได้” เข้าไปแทน
มีตัวอย่างของเด็กหนึ่งคน พ่อตำแหน่งงานดี แม่มีเวลาให้ลูกอย่างดี บนความห่วงใยที่มากเกินจึงคิดแทนลูกทุกอย่าง ไม่เปิดพื้นที่ให้เด็กคิด ลูกก็เชื่อง เรียบร้อย จนวันหนึ่งเมื่อลูกชายต้องย้ายไปเรียนอีกแห่ง เหมือนเป็นต้นไม้ย้ายกระถางที่ไม่แข็งแรงพอ จึงเข้าได้ไปอยู่ในแก๊งซ์ จุดเปลี่ยนในชีวิตเขาคือ ความรู้สึกครั้งแรกที่หยิบปืนขึ้นมาแล้วยิงออกไป ในสายตาของเพื่อนมองว่าเขาเจ๋งมาก ปลื้มในตัวเขามาก แม้ว่ากระสุนจะไม่ลั่น แต่เขาได้รับรู้ตัวตนในแววตาของเพื่อนที่มองมา คงไม่มีพ่อแม่คนไหนไปบอกเพื่อนลูกว่าช่วยหรี่ตาลงหน่อย เพื่อลูกจะไม่หลงทาง แต่พวกเขาก็ไม่ทำในเวลาที่อยู่กันตามลำพัง เขารู้สึกว่าตัวตนของเขามีความหมายขึ้น ต่างจากที่เคยถูกคิดแทน ถูกบอก ถูกตัดสินใจแทนมาโดยตลอด
จากนั้นจึงเดินในเส้นทางสายนี้ไปเรื่อยๆ จนฉากสุดท้ายมีการหักหลังกันเอง เพื่อนในกลุ่มถูกมัดมือจับมาวางตรงกลาง เขาเป็นหนึ่งในคนที่ล้อมตัวเพื่อนคนที่ถูกจับได้ว่าหักหลัง หัวหน้าแก๊งซ์บอกกับเขาว่า “งานมึง” ใจเขาไม่ได้คิดจะยิง คิดเพียงว่าควรจะออกจากแก๊งซ์นี้สักที จึงบอกไปว่า “ผมจะยิงนะ แต่ไม่ว่ากระสุนจะลั่นหรือไม่ลั่น ผมขอออกจากแก๊งซ์” แล้วยิงตูมออกไปจนเพื่อนตาย ซึ่งการตัดสินใจครั้งนั้นทำให้เขาสูญเสียอะไรอีกหลายๆ อย่าง เขาต้องเข้าไปอยู่คุก และแผลนั้นก็ยังคงเป็นของเขาจนถึงวันนี้
ปัจจุบันเด็กคนนี้เรียนปริญญาตรี 2 ใบแล้ว แต่ความสามารถในการตัดสินใจของเขายังน้อยมาก กระบวนการแบบนี้เกิดขึ้นในนามแห่งความรักและปรารถนาดี เพราะเมื่อเขาเชื่องกับพ่อแม่ เขาก็เชื่องกับเพื่อนได้เช่นกัน เป็นด้านกลับของความปรารถนาดี ซึ่งในบ้านกาญจนาฯ จึงบอกกับเด็กๆ เสมอว่า จงกล้าปฏิเสธ การปฏิเสธก็เป็นต้นทุนที่ไม่สยบยอมต่ออะไรง่ายๆ นัก เราอย่าตีความ “การถกเถียง” ว่าเป็นการ “ไม่ทำตาม” เพราะมันคือโอกาส เมื่อกล้าปฏิเสธกับที่นี่ การปฏิเสธจิ๊กโก๋ข้างนอกก็ไม่ได้ยากอีกแล้ว
ทักษะชีวิตสำคัญแค่ไหน ?
จริงๆ เราต้องการวิชาแบบนี้พอๆ กับคณิตศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ มิฉะนั้นคนอย่างหมอชื่อดังซึ่งเก่งเป็นอันดับ 1 ใน 10 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คงไม่ไปอยู่ในคุก สมัยเรียนหมอคงเก่งทุกวิชา คงเป็นขวัญใจของคุณครู นั่งหน้าห้อง ยิ่งใหญ่มากๆ แต่พอ 10 ปีต่อมา กลับต้องมาอยู่ในคุก เมืองไทยมีคนอยู่ 2 แสนกว่าคนที่อยู่ในคุก
“ขณะนี้มีตำรวจมากพอที่จะสร้างโรงพักได้หลายโรง มีเจ้าอาวาสหลายวัด มีวิศวกร มีหมอ พยาบาล มี ผอ.โรงเรียน คำถามก็คือว่า เราจะเรียนอะไรไปเพื่ออะไร เรียนไปเพื่อติดคุกใช่หรือไม่ ถ้าความรู้ดีจริง ความรู้จะต้องเป็นเส้นแห่งความปลอดภัยให้เราด้วย ไม่ใช่แค่ให้เรามีเพียงอาชีพเท่านั้น” นี่เป็นเหตุผลที่องค์การแพธ บ้านกาญจนาฯ ให้เราเรียนรู้ในสิ่งนี้
ตัวอย่าง “วิชาชีวิต” ของเด็กบ้านกาญจน์ฯ
ก้าวแรกของการมาที่นี่ เด็กทุกคนจะต้องเขียนงานเบื้องต้น แผ่นแรกเป็นงานวิจัย ว่าติดคดีอะไร เกิดอะไรขึ้นที่โรงพัก (ถูกซ้อม) ผู้พิพากษาทำอะไร อัยการทำอะไร นักสังคมสงเคราะห์ทำอะไร ประกันตัวเท่าไร ทั้งหมด 2 หน้า คำถามท้ายๆ ถามว่า “บ้านแบบไหนที่จะเปลี่ยนแปลงมนุษย์คนหนึ่งที่ก้าวพลาดได้” และใน “บันทึกก่อนจาก” ซึ่งแม่ลูกที่พึ่งออกไปแล้วนำลูกกลับมาเยี่ยมเพียงไม่ถึงสัปดาห์ ได้เห็นร่องรอยความรู้สึกติดบอร์ดไว้
“สำหรับผม ที่นี่พอดีมาก ที่นี่เร่งไฟให้ร้อนในวันที่ผมต้องการความอบอุ่น และลดอุณหภูมิลงทันทีในวันที่ผมไม่ไหว สำหรับผมที่นี่พอดีมาก”
แม่ของเด็กได้ไปยืนอ่านสิ่งที่ลูกเขียน เขารู้สึกได้ว่าลูกเติบโตมาก เป็นความภาคภูมิใจของเขา ซึ่งครั้งหนึ่งเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ทั้งบ้านตกใจเหมือนโลกกดทับทั้งบ้าน เมื่อตำรวจบอกว่าลูกไปฆ่าคนมา แล้วกำลังหลบหนี แต่วันนี้เขารู้สึกว่าเขาได้ลูกชายกลับคืนมาแล้ว ถามว่าสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องเกิดขึ้นที่บ้านกาญจนาฯ อย่างเดียวหรือไม่ ซึ่งโรงเรียนก็ต้องทำได้
เด็กรุ่นล่าสุด ซึ่งขณะนี้มาถึงรุ่น 56 ในทุกปีเราจะมีงานคืนสู่เหย้า คนที่เป็นรุ่นแรก ๆ จะกลับมาเล่าให้ฟังว่าเรื่องราวในบ้านกาญจนาฯ มันช่วยเขาได้อย่างไร หนึ่งในนั้นคือคำพูดของชายคนนี้
“วันหนึ่งผมขับรถไปกับลูกเมีย แล้วมีวัยรุ่นขับรถตัดหน้าผม วินาทีนั้นถ้าผมปีบแตรโต้ตอบ มันจะกลายเป็นอื่น ผมเลือกที่จะไม่บีบแตร ผมเชื่อว่าวัยรุ่นเขาต้องมีอาวุธติดตัว ผมไม่แลกหรอก ผมใช้วิธีหยุดรถ และผ่านมันมาได้ ความคิดนี้มาจากที่บ้านกาญจนาสอนผม “เหมือนจะแพ้ แต่ไม่แพ้ เหมือนจะชนะ แต่แท้ที่จริงแพ้” ที่สำคัญคนเล่า ไม่ได้ต่อว่าเด็กวัยรุ่นคนนั้นราวกับว่าเขาเข้าใจว่าเขาเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาไม่ต่างกัน
บ่มเพาะ “เด็กขาดพร่อง” ให้มีวิธีคิดและต้นทุนที่ดี
บ้านกาญจนาฯ ตั้งเกณฑ์เอาไว้ว่าจะใช้เวลาในการบ่มเพาะเด็ก 1 ปีครึ่งขึ้นไป กิจกรรมที่นี่จะแน่นไปด้วยการคิดวิเคราะห์และตารางกิจกรรมจันทร์ – ศุกร์ จะทำต่อเนื่องตลอดและปรับตลอด ไม่ให้น่าเบื่อหน่าย
ที่ผ่านมามีงานเขียนของเด็กเยอะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องอ่านทันที ตอนนี้จึงปรับเปลี่ยนด้วยการรื้อตารางกิจกรรมใหม่ เปิดเป็น กิจกรรม “1 ความคิดสู่หลากหลายความคิด” โดยนำสิ่งที่เด็กเขียน ส่งไปสู่การออกแบบ เป็นสีสันสวยงาม เพราะส่วนใหญ่เด็กมักเขียนเป็นพืดมา พอถึงวันศุกร์ เด็กทุกคนจะนั่งเป็นกลุ่มแล้วนำเรื่องที่พวกเขาเขียนมาพูดคุยกัน
..ผมเป็นเด็กใหม่ครับ พึ่งมาอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน เจ้าหน้าที่บอกว่าผมมีแผล ผมก็งงว่า แผลแบบนี้ทำไมต้องเป็นโรงพยาบาล ผมนึกในใจว่าผมจะหนี ระหว่างนั้นผมก็รู้สึกได้ว่าถ้าผมหนี เจ้าหน้าที่ต้องเสียใจแน่ๆ
จากนั้นจึงให้แต่ละกลุ่มช่วยกันคิดว่า คนเขียนต้องการบอกอะไร ให้เจ้าของผลงานจะต้องลุกขึ้นแสดงตัวให้เพื่อนๆ ปรบมือ แล้วถ่ายเอกสารแจกเพื่อน พร้อมแปะขึ้นบอร์ด ซึ่งเราจะพบว่า เด็กทุกคนมีศักยภาพที่จะเขียนสิ่งที่งดงาม ที่มีความหมาย และมีพลัง เพื่อจะสื่อสารให้คนอื่นได้เสมอ มันเหมือนน้ำพุที่ไม่รู้จบ แล้วเด็ก ๆ ก็รู้สึกได้ว่า ..ในชั่วโมงหนึ่งความคิดสู่หลากหลายความคิดเราไม่เอางานเขียนของปราชญ์ที่ไหนมา แต่นำผลงานของทุกคนมาแสดงให้เห็น สร้างให้ความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าก็ค่อยๆ ถูกบ่มขึ้นมาในตัวเด็กๆ
ถามว่า มันยากตรงไหน.. .บางครั้งเรารู้สึกเจ็บปวดแทนเด็กๆ ว่า ผู้ใหญ่ทำให้เสียของเก่งมาก จากข้อมูลบอกเราว่า 17% ของเด็กที่ถูกจับในแต่ละปี เป็นเด็กไอคิวมากกว่า 110 ในฐานะ “คนปลายน้ำ” อย่างป้า อยากถามคนต้นน้ำว่า “มันยากตรงไหน” ในการทำสิ่งเหล่านี้
จุดอ่อนในบ้านกาญจนาฯ ?
ถ้าวัดกันที่ตัวบุคลากร ยังเป็นจุดอ่อนอยู่ เพราะที่นี่เป็นหนึ่งในโครงสร้างของระบบคุกเด็ก ตั้งแต่ปี 2495 ของกรมพินิจ เป็นคุกเด็กแห่งแรกภายใต้ชื่อ พรบ.คดีเด็กและเยาวชน โครงสร้างนั้นไม่ได้จ้างครูมาสอนเด็ก ๆ แต่จ้าง “ผู้คุม” ที่มีหน้าที่ปฏิบัติเดียวกันกับราชทัณฑ์ ที่สำคัญคนที่มาคุมเด็กเหล่านี้ถูกผลิตซ้ำตลอดเวลาว่าเด็กเหล่านี้เป็น “ลูกเสือ ลูกจระเข้”
เช่นเด็ก 7 คนที่พึ่งขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์มา อีก 6 คนที่เคยบุกยิงเข้าไปในโรงพยาบาล แน่นอน ในฉากแรกๆ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้มีความเชื่อต่อเด็กเหล่านี้ ซึ่งเมื่อวิเคราะห์แล้ว ป้าพบว่า การเป็น “ผู้คุม” ไม่ได้ตอบโจทย์อะไร จึงชวนให้ลองเปลี่ยนมาเป็น “ที่ปรึกษาของเด็ก” แทน จนมีเจ้าหน้าที่โต้แย้งขึ้นว่า “ผมไม่ได้เรียนจิตวิทยา หรือสังคมสงเคราะห์มา แล้วผมจะทำแบบนี้ได้ยังไง” ป้าจึงถามเจ้าหน้าที่ต่อ
“คุณไม่ได้เรียนจิตวิทยา สังคมสงเคราะห์ แล้วพ่อแม่คุณเป็นใคร ใครเลี้ยงคุณมา วันที่พ่อแม่มีคุณต้องไปเทคคอร์สจิตวิทยาไหม เพื่อมาเป็นแม่ของเด็ก 1 คน ก็ไม่ใช่ตลอดเวลา หญิงชาวบ้าน หญิงชาวนา แม่ค้าคนนั้นเขาเลี้ยงคุณด้วยอะไร ผู้หญิงเหล่านี้ ผู้ชายธรรมดาเหล่านี้ต่างหากที่ส่งเสียลูกชายคนนั้นจนกระทั่งเป็นด็อกเตอร์กลับมา แม้ดอกเตอร์คนนั้นอาจจะพูดไม่รู้เรื่อง แต่หญิงชาวบ้านคนนั้นยังพูดรู้เรื่องเหมือนเดิม..”
ความรู้ลวงๆ ที่เชื่อว่าเราไม่ได้เรียนจบมา แล้วจะทำไม่ได้ สิ่งนี้มันสกัดศักยภาพของมนุษย์อย่างมหาศาล เป็นสิ่งจอมปลอมที่นักวิชาการออกแบบกันขึ้นมา ป้าว่ามันไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริง เราควรเอาความเป็นมนุษย์มาทำงานกับเด็กสิ ป้าเชื่อว่า ศาสตร์เหนือศาสตร์ ก็คือ “ความเป็นมนุษย์” เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องอื่น
กฏเหล็กแบบไหนที่ควรเปลี่ยน?
เรื่องระบบการเยี่ยม เดิมที่นี่ใช้กฏระเบียบแบบคุก คือสามารถมาเยี่ยมอาทิตย์ละ 1 ครั้ง 15-30 นาที พ่อแม่ถือของเต็มมือตั้งใจจะมาเยี่ยมลูกแต่ต้องกินให้หมดตรงนั้นเพราะกฏมีอยู่ว่า ห้ามนำเข้าไปข้างใน พอพ่อแม่ต้องกลับ เด็กก็ยืนตาละห้อย แต่ละครั้ง แต่ละหน ตาเด็กก็ตาแข็งขึ้น กร้าวขึ้น
เมื่อป้ามาอยู่บ้านกาญจนาฯ จึงจัดการเสียใหม่ คือใน 3 เดือนจะมี 1 วันที่ป้าและเจ้าหน้าที่หายไปจากบ้านให้หมด เราจะทิ้งเด็กๆ เอาไว้ ซึ่งก่อนไปจะรับสมัครคนเลี้ยงลูก ซึ่งพ่อแม่ยกมืออาสากันเต็มเลย แต่ละคนขนของมาเต็มมือ ซึ่งวันนั้นจะมีอาหารอร่อยให้เด็กๆ เพิ่มขึ้น โดยเราให้พ่อแม่มาเลี้ยงลูกๆ กันเอง ไม่ใช่รอผู้ใหญ่ใจดีมาเลี้ยง เด็กๆ สง่างามเกินไปที่จะนั่งรอให้ใครมาเลี้ยงอาหาร และเมื่อพ่อแม่เขียนความรู้สึกในบันทึกในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ดีใจจังที่มาเลี้ยงลูก แม้จะไม่ใช่ลูกเราทั้งหมด แต่เราเห็นว่า เด็กๆ ก็ไม่ได้น่ากลัว เด็กๆ น่ารักมาก มีกำลังใจจังเลย ถ้าเราเอาลูกกลับไป เราเชื่อมั่นแล้วว่าเราดูแลลูกได้”
ส่วนเด็ก ๆ ก็จะแสดงความรู้สึกออกมาว่า “วันนี้พ่อแม่ผมไม่มา แต่รอบหน้า ผมอยากให้พ่อแม่ผมมาบ้าง” ซึ่งในที่สุดแล้ว ความเป็นคุกของบ้านนี้ก็หายไปจริงๆ เพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่พ่อแม่ของพวกเรา ไม่เจอเจ้าหน้าที่สักคน พอบอร์ดนี้ขึ้นสู่สายตาใคร ๆ ความรู้สึกของพ่อแม่ ความรู้สึกของเด็กๆ ก็เปลี่ยน จนกลายเป็น identity ของพวกเขาโดยไม่ต้องรอให้มีคนมาสั่งว่าโรงเรียนเราควรจะทำแบบนี้
“เราโตกันขนาดนี้แล้ว เรารู้ว่า ควรจะทำอะไร ไม่ควรจะทำอะไร ที่สำคัญต้องรู้ว่า เราไม่ควรทำอะไรกับเด็ก เพราะเด็กๆ เจออะไรมาเยอะมากแล้ว”
โรงเรียนจะปรับใช้เครื่องมือเหล่านี้ได้มากน้อยแค่ไหน?
แม้ในคุกที่ทุกอย่างดูเป็นปัญหาไปหมด ก็ยังทำได้ ก่อนอื่น “อย่าพึ่งเปิดประตู เพื่อเจอกับ “ปัญหา” เราต้องเห็น “โอกาส” มาก่อน เริ่มต้นที่วิธีคิด แล้วมองเป็นโอกาสให้ได้ เด็กวัยรุ่นมีสิ่งดีๆ ในแบบที่คนอายุประมาณเราไม่มี คือ รักพวกพ้อง เขาอยากช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งเราอาจจะมีน้อยกว่าเขาด้วยซ้ำ
หน้าที่เราคือ จะทำให้สิ่งเหล่านั้นขับเคลื่อนได้อย่างไร อย่ามองว่า “การติดเพื่อน” เป็นด้านลบ ถ้ารักเพื่อนก็ถามว่าเขาอยากช่วยอะไรเพื่อนไหม เด็กก็นึกออกทันทีว่าจะช่วยอะไรเพื่อนได้บ้าง หลายเรื่องจึงต้องปรับที่ผู้ใหญ่
ถ้าบ้านกาญจนาฯ สามารถเปลี่ยนเด็กได้ โรงเรียนซึ่งถือเป็นต้นน้ำ คุณครูก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ครูต้องบวกมุมมองใหม่ๆ เข้าไปด้วย ถ้ายังมองแบบเดิมๆ ก็จะทำของดีให้เป็นของเสีย แล้วส่งมาให้ป้าแบบนี้อีก หากเปลี่ยนพื้นที่ในโรงเรียนให้เป็นพื้นที่ฉายด้านดีของเด็กๆ ออกมา สิ่งเหล่านี้จะงอกงามและเติบโตได้ เพียงแค่เราไม่หวังสูงจนเกินไป ว่าเด็กทุกคนต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อตอบสนองต่อนโยบายทางการศึกษา เพราะอุดมคติเหล่านี้จะไปทำลายความฝัน ทำลายศักยภาพของเด็ก มันอาจตอบสนองความฝันของผู้บริหาร แต่มันทำลายคนรายบุคคลเยอะมาก
ในฐานะคนปลายน้ำ จึงต้องเอาความจริงมาบอก ป้าไม่ได้บอกว่าบ้านกาญจนาฯ ดีที่สุด แต่อยากจะบอกว่า “เด็กๆ ดีที่สุดแล้ว”
เตรียมวัยรุ่นให้แกร่งพอที่จะรอดได้ในสังคมอย่างไร?
ทัศนคติของสังคมที่เปิดกว้างเป็นเรื่องสำคัญ การสร้างการเรียนรู้กับเด็กในโรงเรียนที่เป็นเด็กต้นน้ำ ผู้ใหญ่ต้องหยุดผูกขาด ตีความภาวะดีชั่ว ดำ ขาว เทา
ยกตัวอย่าง พอครูนำวิชา “เพศวิถีศึกษา” ซึ่งเป็นทักษะชีวิตเข้ามาในห้องเรียน เพื่อเตรียมเด็กให้มีทักษะการป้องกัน และแก้ปัญหาท้องไม่พร้อมในวัยรุ่น กลับต้องกระทบกับอำนาจบางอย่างในโรงเรียน ครูต้องสู้กับชุดความคิดที่แข็งแรงที่เชื่อเรื่องเพศในกรอบความคิดเดิม เพราะเพศศึกษาไม่ได้อยู่ในจริตจก้านของคนไทย เมื่อก่อนอยู่ในทีวี อยู่ในโรงหนัง ปัจจุบันอยู่ในฝ่ามือเด็กแล้ว
โลกเปลี่ยนไปขนาดนี้ แต่เรายังใช้วิธีเดิมๆ ตลอดเวลาในการสร้างการเรียนรู้ให้เด็ก เมื่อใดที่ผู้ใหญ่ตระหนักว่า นี่เป็นปัญหาที่คุกคามเด็กจริง ควรช่วยกันผลักดันให้วิชาเหล่านี้เข้าไปในการเรียนการสอนอย่างมีศักดิ์ศรี ให้เป็นวิชาที่เด็กต้องเรียน เมื่อนั้นจะถึงจุดเปลี่ยนได้
ทุนชีวิตของเด็กไม่ได้เปลี่ยนง่ายๆ เราต้องจัดกระบวนทัพให้ดี ถ้าไม่ได้ออกมาด้วยใจ ก็แพ้ได้ง่าย ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าสิ่งที่เราทำเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบใหญ่ของสังคม เราจะสู้กับสิ่งนี้ เราต้องมีความเพียรที่มากพอ
“ท้อไม่ได้ ต้องรู้ว่าคู่ต่อสู้ของเราคือใคร และทบทวนตลอดเวลา เพื่อจะเห็นทางออกที่มากกว่าหนึ่งทางเสมอ และการบ่นเดิมๆ ไม่ได้ช่วยให้ปัญหาคลี่คลายลงได้”
(บทสัมภาษณ์ “ทิชา ณ นคร” ผู้อำนวยการศูนย์อบรมเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก ในงานประชุมวิชาการเพศวิถีศึกษาภาคเหนือ “เพศศึกษากับการเรียนรู้สำหรับโลกศตวรรษที่ 21 เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2556 โดยองค์การแพธ)
เรียบเรียงโดย : ภาวิณี เทพคำราม team content www.thaihealth.or.th