ลูกป่วยธาลัสซีเมียระวังไอพีดีแทรกซ้อน
เตือนคู่แต่งงาน ตรวจพาหะของโรคก่อนมีบุตร
กุมารแพทย์เตือนพ่อแม่ที่มีลูกเล็กป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อนิวโมคอคคัส หรือเชื้อไอพีดีสูง แนะฉีดวัคซีนไอพีดีป้องกัน เน้นการดูแลรักษาแบบองค์รวม เพื่อยืดชีวิตผู้ป่วยให้ยาวนานและมีคุณภาพชีวิตที่ดี พร้อมเร่งลดจำนวนผู้ป่วยธาลัสซีเมียในแต่ละปี อีกทั้ง คู่แต่งงานตรวจเลือดพาหะของโรคก่อนมีบุตร
รศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง กุมารแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยว่า โรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคพันธุกรรมที่เกิดความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง โดยผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียบางรายที่มีอาการรุนแรงมากต้องรักษาดัวยการตัดม้าม ซึ่งม้ามจะทำหน้าที่สร้างภูมิต้านทานเพื่อทำลายเชื้อโรค ดังนั้น การตัดม้ามจะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ มากกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างการติดเชื้อนิวโมคอคคัส ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดกลุ่มโรคไอพีดีได้ โดยประกอบไปด้วย เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด รวมถึงปอดอักเสบ และยังอาจทำให้เกิดการติดเชื้อทางระบบหายใจอื่นๆ เช่น ไซนัสอักเสบ และหูน้ำหนวก เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยถึงแก่เสียชีวิตได้
“ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย ส่วนใหญ่จะมีอาการซีดเหลือง รูปร่างหน้าตาเปลี่ยนแปลง สำหรับในเด็กพบว่าโรคธาลัสซีเมียที่มีอาการรุนแรงจะส่งผลให้เด็กเจริญเติบโตช้า กระดูกแขนขาหักง่าย ตับม้ามโต ถ้ามีอาการซีดมากอาจมีโอกาสหัวใจล้มเหลวได้ และเนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องได้รับการให้เลือดเป็นประจำ จึงอาจพบภาวะธาตุเหล็กเกินในร่างกาย และต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติได้ ในบางรายที่มีอาการซีดรุนแรงและเร็วเนื่องจากผู้ป่วยรายนั้นมีม้ามโตมาก แพทย์ก็จะพิจารณาให้ตัดม้าม ซึ่งจะส่งผลให้ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงขึ้น”
รศ.นพ.สุรเดช กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันวิธีการรักษาผู้ป่วยธาลัสซีเมียให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีอายุยาวนานต้องใช้การรักษาแบบองค์รวม คือต้องใช้วิธีการรักษาหลายๆ วิธีร่วมกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด โดยแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียหลังตัดม้าม ให้ไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส (วัคซีนไอพีดี) ซึ่งเป็นวิธีการป้องกันการติดเชื้อที่จำเป็นและมีประสิทธิภาพ แต่ทั้งนี้จะต้องอยู่ในการพิจารณาและการตัดสินใจของผู้ป่วยและญาติ
นอกจากนั้น ยังต้องใช้วิธีการรักษาอื่นๆร่วมด้วย เช่นการให้เลือดอย่างสม่ำเสมอ การให้ยาขับเหล็ก การดูแลสุขภาพและอาหารที่เหมาะสมควบคู่ไปด้วย เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่เหมือนคนปกติมากที่สุด และผู้ป่วยจะต้องดูแลตัวเองให้พ้นจากภาวะเสี่ยงจากการติดเชื้อ เช่นหลีกเลี่ยงสถานที่แออัดพลุกพล่าน ดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ตลอดจนรักษาสุขอนามัยให้เป็นนิสัย เป็นต้น
“จากการประชุมวิชาการธาลัสซีเมียแห่งชาติครั้งที่ 14 เมื่อเร็วๆ นี้มีการเปิดเผยถึงรายงานการศึกษาล่าสุดในปี 2547 โดยระบุว่าทั่วประเทศมีผู้ป่วยที่มีความรุนแรงของโรคในระดับต่างๆ สูงถึง 630,000 ราย และมีประชากรไทยถึง 20 ล้านคน ที่มีกรรมพันธุ์ของโรคธาลัสซีเมีย หรือคิดเป็นร้อยละ 30-40 ของประชากรไทย จากสถิติดังกล่าว จึงถือเป็นความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งในการลดจำนวนผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ โดยคู่แต่งงานต้องรับการตรวจหาความเป็นพาหะของโรคธาลัสซีเมียก่อนที่จะวางแผนมีบุตร เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มจำนวนของผู้ป่วย ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุด แม้แต่ในเด็กสุขภาพดีก็ควรระวังเช่นเดียวกัน” รศ.นพ.สุรเดช กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
update 31-10-51