‘ลด-ละ-เลิกบุหรี่’ พลังชุมชน ช่วยได้
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
31 พฤษภาคมของทุกปี.. ตรงกับ "วันงดสูบบุหรี่โลก" โดยเริ่มจัดกิจกรรมครั้งแรกในปี 2531 เนื่องจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) ต้องการสร้างความตระหนักแก่มนุษยชาติว่ายาสูบเป็นอันตราย ต่อสุขภาพ ให้ปัจเจกชนแต่ละคน "ลดละ-เลิก" สูบบุหรี่ รวมถึงให้ภาครัฐออกมาตรการต่างๆ สร้างสภาพแวดล้อมเพื่อจำกัดการสูบและเข้าถึงบุหรี่ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่น ออกกฎหมายกำหนดพื้นที่ห้ามสูบ ห้ามขายยาสูบให้เด็กและเยาวชน เป็นต้น
30 ปีต่อมา..ในเดือนพฤษภาคม 2561 มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ จัดการแถลงข่าว "บุหรี่ตัวร้าย ทำลายหัวใจ" ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต ย่านหลักสี่ ชื่องาน ตั้งล้อตามคำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 2561 ของ WHO ว่า "Tobacco Breaks Hearts" และทาง กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย นำมาเรียบเรียง ใหม่เป็น "รักษ์หัวใจ ห่างไกลบุหรี่"เพื่อแสดงถึงผลกระทบของบุหรี่ซึ่งเป็น ต้นเหตุของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดอื่นๆ รวมถึงโรคเส้นเลือดสมอง อันเป็นสาเหตุการเสียชีวิตระดับต้นๆ ของโลก
ผศ.นพ.ครรชิต ลิขิตธนสมบัติ นายกสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและโรคเส้นเลือดสมอง คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยว่า คนไทยเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและ หลอดเลือดแดงตีบตัน ซึ่งหมายถึง หลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองถึงปีละ 100,000 คน คิดเป็นร้อยละ 20 ของสาเหตุการเสียชีวิของคนไทย ในแต่ละปี
และ "1 ใน 5 ของคนไทยที่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่" ในขณะที่ คนไทยที่มีอายุระหว่าง 30-45 ปี ที่สูบบุหรี่มีโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่าคนที่ไม่สูบถึง 4 เท่า หรือหากกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เกือบ ครึ่งหนึ่งของคนวัยหนุ่มสาว ถึงกลางคนที่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่
"การสูบบุหรี่เพียงหนึ่งถึงสองมวนต่อวันก็เพิ่มความเสี่ยง ในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ แม้แต่การสูบบุหรี่ไฟฟ้า (E-cigarette) ก็มีสารนิโคตินซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่เคยสูบบุหรี่ และสามารถเลิกบุหรี่ได้ สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ถึงร้อยละ 30" นพ.ครรชิต กล่าว
ขณะที่ ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวถึง "ควันบุหรี่มือสอง"หรือคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ แต่อยู่ใกล้ผู้สูบต้องทนสูดควันบุหรี่ที่ผู้สูบพ่นออกมา ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันได้ โดยการได้รับควันบุหรี่ มือสองเพียง 30 นาที ก็เกิดอันตราย ต่อเยื่อบุหลอดเลือด และทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจลดลงได้ ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า แต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจ และสมอง ปีละ 2,615 คน จากจำนวนผู้ที่เสียชีวิตจาก ควันบุหรี่มือสองทั้งหมดปีละ 6,500 คน
ซึ่งใน สหรัฐอเมริกา มีผู้ที่เสียชีวิต จากโรคเส้นเลือดหัวใจตีบจากการ ได้รับควันบุหรี่มือสองปีละ 33,950 คน และมีชาวอเมริกัน 2,194,000 คน ที่เสียชีวิตระหว่าง 2507-2557 จากโรคเส้นเลือดหัวใจที่เกิดจากการได้รับควันบุหรี่มือสอง "ส่วนใหญ่ได้รับควันบุหรี่มือสองในบ้านหรือที่ทำงาน"จึงขอเรียกร้องให้ผู้สูบบุหรี่ที่ยังเลิกสูบไม่ได้ ไม่สูบบุหรี่ในบ้าน เพื่อลดอันตรายที่คน ในบ้านจะได้รับจากควันบุหรี่ ทั้งนี้ข้อมูลสำรวจล่าสุดโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ.2560 พบว่า มีคนไทย 17.3 ล้านคน ที่ได้รับควันบุหรี่มือสองในบ้าน
อีกด้านหนึ่ง มีความพยายามจาก ภาคชุมชนในการสร้างพื้นที่ปลอดบุหรี่ ที่งานเสวนา "5 พื้นที่ ร่วมสร้าง 5 วิถี ปลอดบุหรี่โดยชุมชนท้องถิ่น" จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ณ รร.มิราเคิล แกรนด์ ถ.วิภาวดีรังสิต ย่านหลักสี่ มีตัวแทนจากหลายชุมชนมาบอกเล่าการใช้ "กลไกสังคม" เพื่อลด-ละ-เลิกบุหรี่ เช่น กิตติโชติ กาฬหว้า นักพัฒนาชุมชน เทศบาลตำบล (ทต.) ภูแล่นช้าง อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ เล่าว่า ดำเนินตามขั้นตอนดังนี้
1.รวบรวมข้อมูล ทั้งจำนวน ผู้สูบบุหรี่ โดยพบว่ามีผู้สูบบุหรี่ราว 400 คน จากประชากรทั้งหมดราว 4 พันคน และพฤติกรรมการสูบบุหรี่ เช่น สูบวันละกี่มวน สูบเวลาไหนบ้าง 2.สร้างความเข้าใจ เพราะในช่วงแรกๆ ที่ทำงานด้านลด-ละ-เลิกสูบบุหรี่ ก็ถูกชาวบ้านต่อต้านอยู่ไม่น้อยเนื่องจากขัดต่อความเคยชิน ในชีวิตประจำวัน ก็ต้องหาทางพูดถึงบ่อยๆ ตามงานกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน โดยเฉพาะในจุดที่กฎหมายห้ามสูบ อาทิ วัด โรงเรียน โรงพยาบาล 3.ใช้กลไก ครอบครัว นำสมาชิกในครอบครัว มาอบรมให้ความรู้ เป็นการสร้างแรงกดดัน กับผู้สูบไปโดยปริยาย
เช่นเดียวกับ มนตรี คำสอน หัวหน้าสำนักปลัด องค์การบริหาร ส่วนตำบล (อบต.) ทุ่งรวงทอง ต.ทุ่งรวงทอง อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ที่ อบต. ทุ่งรวงทอง ใช้วิธีการทำป้าย "บ้านนี้ ไม่สูบบุหรี่" แจกจ่ายไปติดในทุกบ้านที่ไม่มีสมาชิกคนใดสูบบุหรี่ ทำให้บ้านที่ยังมีคนสูบบุหรี่รู้สึกกดดันจนต้องหาทางลด-ละ-เลิก หรือการตั้งเกณฑ์รับสมัครเจ้าหน้าที่ประจำ อบต. ก็กำหนดไว้ว่าต้องเป็นผู้ไม่สูบบุหรี่ เป็นต้น
ไม่ต่างจาก นิสิต ส่งศรี รองปลัด เทศบาลตำบล (ทต.) วังเหนือ ต.วังเหนือ อ.วังเหนือ จ.ลำปาง ที่กล่าวว่า การขับเคลื่อนชุมชนลด-ละ-เลิกบุหรี่ "ใช้ชุมชนและเครือข่ายนำกฎหมาย" เน้นไปที่กลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ จนกลายเป็น กติกาทางสังคมว่า "ศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนผู้สูงอายุเป็นเขตปลอดบุหรี่" ส่วนสถานที่อื่นๆ ที่กฎหมายห้าม เช่น วัด โรงเรียน โรงพยาบาล สถานที่ราชการ ก็เป็นเรื่องการบังคับใช้กฎหมายไป
"หน่วยงานราชการของท่านต้องขับเคลื่อนเรื่องพื้นที่ห้ามสูบบุหรี่ ฉะนั้นเราทำป้ายมอบเลย มอบให้องค์กร แล้วก็สร้างกระแสให้คนในองค์กรมารับมอบป้ายด้วย โดยสรุปการทำงานเรื่องของตัวกฎหมาย เรา ไม่ได้ใช้กฎหมายเป็นหลัก แต่เราใช้พลังเครือข่ายเป็นหลัก ผมใช้ 3 ส ส แรก คือสร้างความเข้าใจก่อน ส ที่สองคือสร้างข้อตกลงให้เกิดขึ้น ในชุมชน ในพื้นที่สาธารณะที่กฎหมาย ไม่บังคับ แต่เราสร้างข้อตกลงว่าจะต้อง ไม่มีการสูบบุหรี่ ส สุดท้ายคือสร้าง ความร่วมมือ อันนี้เน้นเรื่องกฎหมายเลย"รองปลัด ทต.วังเหนือ ระบุ
ขณะที่ ซัมซูดิน รอเซะ หัวหน้าฝ่ายบริหารงานสาธารณสุข เทศบาลตำบล (ทต.) มะรือโบตก ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส กล่าวว่า ที่ 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ มีต้นทุนสำคัญคือ "ศาสนา" โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2549 ซึ่ง เป็นปีที่จุฬาราชมนตรีในขณะนั้นมีคำวินิจฉัยว่า "บุหรี่เป็นสิ่งต้องห้ามตามหลักศาสนาอิสลาม" จึงเริ่มโครงการ "สร้างบุคคลต้นแบบ" จากบรรดา "โต๊ะอิหม่าม" หรือครูสอนศาสนา เพราะเป็นบุคคลที่สังคมมุสลิมให้ความนับถือ เมื่อครูสอนศาสนาเลิกสูบบุหรี่ได้ ย่อมไปบอก ไปชักชวนให้คนอื่นๆ ในสังคม เลิกได้เช่นกัน
ปิดท้ายด้วย บุปผา บุญสดุดี พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บ้านสหกรณ์ ต.บ้านสหกรณ์ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ ที่เล่าว่า ในอดีตเมื่อมีคนสูบบุหรี่ที่อยากเลิกสูบ บุคลากรสาธารณสุขทำได้เพียงให้คำแนะนำเท่านั้น แต่ต่อมาเมื่อมีกระบวนการเครือข่าย ทั้งอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ผู้นำชุมชน บุคคลต้นแบบ โดย รพ.สต. จะให้ความรู้คนกลุ่มนี้เรื่องเทคนิคต่างๆ ในการชักชวนคนลด-ละ-เลิกบุหรี่ รวมถึงใช้กลไกครอบครัว ดึงทั้งผู้สูบและสมาชิกในบ้านมาอบรม
"สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเลิกบุหรี่ได้ คิดว่าน่าจะเกิดจากกำลังใจและความตั้งใจของผู้สูบเอง เขาตั้งใจจะเลิกสูบ สอนเทคนิคไปแล้ว แต่พอ กลับบ้านไปพอมีอะไรมากระทบจิตใจหน่อยเขาก็พร้อมที่จะกลับไปสูบใหม่ แต่ถ้ามีคนให้กำลังใจ คนที่บ้าน หรือแม้แต่ อสม. หรือบุคคลต้นแบบ ที่ติดตามอย่างสม่ำเสมอ ให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง การเลิกบุหรี่ของเขาก็จะสำเร็จลุล่วงไปได้" พยาบาลวิชาชีพชำนาญ รพ.สต.บ้านสหกรณ์ ฝากข้อคิด