ร่วมแก้ไข…ภัยคุกคามทางเพศในที่ทำงาน
“ภัยคุกคามทางเพศ” เรื่องจริงที่มีให้เห็นกันอยู่ทั่วไปในสังคม จนหลายคนมองเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว การคุกคามทางเพศ (sexual harassment) เป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ภัยคุกคามนี้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาและทุกอาชีพทั้งจากคำพูด สายตา หรือการกระทำ เช่น การพูดจาส่อนัยยะ การดูถูกเรื่องเพศ การผิวปากแซว การสัมผัสใกล้ชิดโดยเจ้าตัวไม่ยินดี
บริษัทขนส่ง จำกัด ร่วมกับ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจบริษัทขนส่ง จำกัด(สร.บขส.) มูลนิธิธีรนาถ กาญจนอักษร และแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ร่วมกันจัดการแสดงนิทรรศการและการเสวนาเรื่อง “หยุด!ภัยคุกคามทางเพศเพื่อสุขภาพและความปลอดภัยบนรถ บขส.” ณ ลานชั้น 1 ทิศเหนือ สถานีขนส่งผู้โดยสาร กรุงเทพฯ(จตุจักร) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ผู้เกี่ยวข้องเห็นความสำคัญของปัญหาการคุกคามทางเพศในที่ทำงาน และตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันแก้ไขปัญหาการคุกคามทางเพศ ในงานมีการนำเสนอผลงานวิจัยจากโครงการวิจัยแบบมีส่วนร่วม เรื่องการคุกคามทางเพศเพื่อให้ผู้บริหารองค์กรสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือและแนวทางในการพัฒนากลไกการคุ้มครองสิทธิของพนักงานที่ถูกคุกคามทางเพศจากการทำงาน
นางสาวนัยนา สุภาพึ่ง ผู้อำนวยการมูลนิธิธีรนาถ กาณจนอักษร กล่าวถึงความเป็นมาในการทำโครงการวิจัยแบบมีส่วนร่วม เรื่องการคุกคามทางเพศในที่ทำงานว่า ภัยคุกคามทางเพศเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกอาชีพ ทุกสถานะ แต่ไม่ค่อยมีใครตระหนักและเข้าใจว่ามันคืออะไร ภัยคุกคามทางเพศจึงเป็นเรื่องที่ควรทำให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในสังคม หลายคนเผชิญเรื่องเหล่านี้อย่างอึดอัด โดยไม่สามารถบอกความถึงการถูกกระทำที่เป็นการคุมคามทางเพศได้
“การถูกคุกคามทางเพศ มันไม่เหมือนกับการโดนข่มขืน เพราะหากโดนขมขื่น จะรู้เลยนะว่าโดนกระทำแน่นอน แต่หากเป็นภัยคุกคามทางเพศจะรู้ได้อย่างไร…” การทำความเข้าใจประเด็นนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เราจึงพบว่าการคุมคามทางเพศในกิจการขนส่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่าย เพราะเป็นการให้บริการสาธารณะและอยู่ในพื้นที่จำกัด ต้องเดินทางข้ามจังหวัด ข้ามประเทศ มีผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ซึ่งมีความสัมพันธ์เชิงอำนาจชัดเจน ทำให้เกิดการคุกคามได้ง่าย ทั้งระหว่างผู้โดยสารกับผู้โดยสาร ผู้ให้บริการกับผู้โดยสาร หรือแม้แต่พนักงานด้วยกันเองก็ตาม จึงเลือกพื้นที่กิจการขนส่งในการดำเนินการทำโครงการขึ้น โดยมีสหภาพแรงงาน 3 แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการ คือ บริษัทการบินไทยจำกัด(มหาชน) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) และบริษัทขนส่งจำกัด(บขส.)
ด้าน นายเสวก มะมินทร์ กรรมการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจขนส่ง จำกัด สร.บขส. ผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยแบบมีส่วนร่วม เรื่องการคุกคามทางเพศในที่ทำงาน ได้เล่าถึงปัญหาการคุกคามทางเพศที่เกิดขึ้นในรถโดยสารว่า จะมี 3 ลักษณะด้วยกันคือ 1.ระหว่างพนักงานกับพนักงานด้วยกัน ซึ่งในระหว่างเดินทางจะมีการพูดคุย หยอกล้อ มีการถูกเนื้อต้องตัวโดยฝ่ายชายมักจะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ในขณะที่ฝ่ายหญิงเองไม่สามารถปฏิเสธได้ ไม่กล้าที่จะบอกว่าทำอย่างนี้เขาไม่ชอบนะ 2.ระหว่างผู้โดยสารกับพนักงานประจำรถ กรณีนี้เกิดขึ้นบ่อย จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ จะได้รับคำบอกเล่าจากพนักงานต้อนรับว่า “เวลาไปเสิร์ฟอาหาร ผู้โดยสารจะเอามือมาหยิบผิดหยิบถูก หรือบางทีเดินสวนกับพนักงานที่กำลังเดินเสิร์ฟอาหาร ก็จะมีการเบียดให้แขนโดนหน้าอก โดนตัวเขาบ้าง” ซึ่งสิ่งเหล่านี้พนักงานล้วนมีความอึดอัดใจมาก จะพูดว่าก็ไม่ได้… เพราะเขาคือลูกค้า
ส่วนลักษณะที่ 3.เกิดขึ้นกับผู้โดยสารและผู้โดยสาร ลักษณะนี้พบบ่อยเช่นกัน เช่นผู้โดยสารชายแกล้งหลับเอนไปซบผู้โดยสารหญิงบ้าง เอามือข้ามไปโดนตัวบ้างการถูกเนื้อต้องตัวเล็กๆน้อยๆ ในผู้ชายบางคนถือเป็นการได้เปรียบและคิดว่าแค่นี้ ไม่ผิดเพราะเขาไม่ได้ทำอะไร แต่ในทางกลับกันผู้หญิงจะรู้สึกอึดอัด ลักษณะการคุกคามทางเพศเหล่านี้มักเกิดขึ้นในรถโดยสารเป็นประจำ
สำหรับมาตรการป้องกันและช่วยเหลือนั้นพนักงานในองค์กรนั้น นายเสวกกล่าวต่ออีกว่า ทางสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจบริษัทขนส่ง จำกัด ได้มีข้อบังคับไว้แล้วโดยต้องให้การปกป้องดูแลสมาชิกสหภาพฯ และมีหน้าที่รับเรื่องราวร้องทุกข์ของสมาชิกสหภาพฯ โดยสหภาพฯ ก็ได้มีทีมงานรับเรื่องร้องทุกข์ และมีทีมงานฝ่ายสตรีมาคอยรับเรื่องราวของสตรีโดยเฉพาะอีกด้วย
ทางด้าน นายพินิจ คำปู่ รองผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายธุรกิจเดินรถ บริษัท ขนส่ง จำกัด ได้กล่าวถึง มาตรการป้องกันและช่วยเหลือพนักงานกรณีถูกคุกคามทางเพศว่า มาตรการที่เคยใช้เบื้องต้นคือ การแยกพนักงานคู่กรณีไม่ให้ทำงานร่วมกันก่อน และหากพนักงานผู้เสียหายร้องเรียน จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามระเบียบ ระหว่างการสอบสวนจะงดการปฏิบัติหน้าที่พนักงานผู้นั้นไว้ และหากในกรณีที่ไปเกิดเหตุต่างจังหวัด เพื่อให้มีหลักฐานประกอบ เบื้องต้นพนักงานต้องแจ้งนายสถานี จากนั้นให้แจ้งความกับตำรวจ เพราะเคยมีบางกรณีที่เกิดเหตุไปแล้ว 2 เดือน แต่พึ่งมาทำหนังสือร้องเรียนโดยไม่ได้มีการแจ้งความ จึงทำให้เรื่องร้องเรียนนั้นไม่ค่อยเป็นผล
เรื่องการชดเชยค่าเสียหายเป็นเรื่องทางแพ่ง ซึ่งเบื้องต้นจะให้ตกลงกันเอง หรือมีการลงโทษที่หนักเบาแล้วแต่เกณฑ์การพิจารณาต่อไป แต่กรณีพนักงานคุกคามผู้โดยสาร บทลงโทษมีสถานเดียว คือ การให้ออกจากงาน ซึ่งจะต่างจากบทลงโทษระหว่างพนักงานกับพนักงานด้วยกัน
เป็นเรื่องน่ายินดีที่องค์กร เริ่มให้ความสำคัญของการมีมาตรการคุ้มครองจากภัยคุกคามทางเพศ เพราะเรื่องเหล่านี้ถือว่าบั่นทอนต่อการพัฒนาศักยภาพและลดประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรในองค์กรถึงเวลาแล้วที่ผู้ถูกคุกคามทางเพศในที่ทำงานจะได้ลุกขึ้นมาเรียกร้อง ไม่จำยอมกับความรู้สึกที่อึดอัดอีกต่อไป
เรื่อง: จารุทรรศน์ สิมธิสมบูรณ์
ที่มา: แผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ