รู้จัก-รู้จริง เรื่อง ‘กลูเตน’

ปัจจุบันกระแสอาหารเพื่อสุขภาพกำลังได้รับความนิยม หากไปตามซูปเปอร์มาเก็ตก็มักจะพบกับฉลากบรรจุภัณฑ์อาหารระบุว่า ไม่มีน้ำตาล (Sugar Free), ไม่มีไขมัน (Fat free)  รวมถึงฉลาก ปลอดกลูเตน (Gluten Free) ที่เป็นเทรนด์มาแรงในการเลือกรับประทานอาหารของคนรักสุขภาพ ซึ่งหากขาดความเข้าใจที่ถูกต้อง อาจส่งผลเสียตามมาได้


รู้จัก-รู้จริง เรื่อง‘กลูเตน’ thaihealth


สุพิศ กลิ่นหวล นักโภชนาการชำนาญการพิเศษ ฝ่ายโภชนาการ โรงพยาบาลกลาง สำนักการแพทย์  ให้ข้อมูลว่า กลูเตน (Gluten) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบได้ในข้าวสาลี ข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์ ซึ่งพบในผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้งข้าวสาลี เช่น เบเกอรี่ พาย เค้ก เนื้อปูเทียม โดย “กลูเตน” มักใช้เป็นส่วนประกอบในการทำเนื้อเทียมในอาหารมังสวิรัติ และอาหารเจ รวมถึงยังพบได้ใน ปลากระป๋อง กะทิสำเร็จรูป น้ำมันหอย ซอสถั่วเหลือง เป็นต้น


ประโยชน์ของกลูเตน คือ เป็นตัวช่วยให้ขนมปังฟูขึ้น และเนื้อนุ่ม นอกจากนี้ กลูเตนในข้าวสาลียังอุดมไปด้วยโปรตีนถึง 23 กรัมต่อ ข้าวสาลีประมาณ ¼ ถ้วย ซึ่งมากกว่าเนื้อวัว เนื้อปลา และเนื้อไก่ประมาณ 85 กรัมอีกด้วย


กลูเต็นจะส่งผลเสียกับ ‘ผู้ที่แพ้กลูเตน’ โดยมีอาการคล้ายกับคนที่แพ้นมวัว แม้กินเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ ทำให้เกิดโรคลำไส้อักเสบ ท้องอืด ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการชาตามแขนและขา


รู้จัก-รู้จริง เรื่อง‘กลูเตน’ thaihealth


สำหรับความเชื่อในการเลือกรับประทาน “อาหารปลอดกลูเตน” (Gluten-free) จะส่งผลดีต่อสุขภาพจริงหรือไม่


นักโภชนาการชำนาญการพิเศษ อธิบายว่า การเลือกกินอาหารที่ไม่มีกลูเตนไม่ได้ทำให้ผอมหรือสุขภาพดี สำหรับคนไทยอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักกลูเตนกันมากนัก แต่ในต่างประเทศมีประชากรที่แพ้กลูเตนมากมาย ผลิตภัณฑ์ปลอดกลูเตน จึงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมทัั้งผลิตภัณฑ์ฟาสต์ฟู้ด และเบเกอรี่ ก็ออกผลิตภัณฑ์อาหารที่ไม่มีกลูเตนมาเพื่อเอาใจผู้บริโภค ซึ่งแท้จริงการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด หรือเบอเกอรี่ ก็มีความเสี่ยงต่อสุขภาพในเรื่องของไขมัน โซเดียม ความหวานที่มีปริมาณสูงอยู่แล้ว


“กลูเต็นเป็นเพียงโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่ไม่เป็นอันตรายสำหรับคนทั่วไปเพียงแต่ต้องรับประทานอย่างพอเหมาะ นอกจากผู้ที่มีอาการแพ้กลูเต็น หรือโรคความผิดปกติในช่องท้องที่กลูเตนไปขัดขวางการดูดซึมอาหาร ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ที่บริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก ก็มีโอกาสเกิดโรคดังกล่าวน้อย”


นอกจากนี้ การอ่านฉลากก่อนซื้อก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ได้รับสารอาหารตรงตามความต้องการ เนื่องจากฉลากอาหารเป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานที่จะบอกว่าอาหารนั้นผลิตที่ใด มีส่วนประกอบอะไร มีการปรุง การเก็บรักษาอย่างไร ผลิตหรือหมดอายุเมื่อใด มีการใช้สารหรือวัตถุเจือปนชนิดใด รวมถึงมีคำเตือนที่ควรระวัง และได้รับอนุญาตหรือผ่านการตรวจสอบจาก อย.หรือไม่ โดยดูจากเครื่องหมาย อย. ซึ่งมีเลขสารระบบอาหาร 13 หลัก อยู่ภายในกรอบเครื่องหมาย อย.จะช่วยให้เราดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม


รู้จัก-รู้จริง เรื่อง‘กลูเตน’ thaihealthนอกจากนี้ สุพิศ ยังแนะนำ วิธีการตรวจสอบฉลากโภชนาการก่อนการเลือกซื้อ ได้แก่ 1. ตรวจดูว่าปริมาณพลังงานต่อ 1 หน่วยบริโภคเท่าไหร่ 2. ตรวจดูว่าปริมาณไขมันและไขมันอิ่มตัวมีเท่าไหร่ ในหนึ่งวันเราควรได้รับไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 20 กรัมต่อวัน เนื่องจากไขมันอิ่มตัวเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้โคเรสตอรอลในร่างกายสูงขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ 3. ตรวจดูว่ามีปริมาณน้ำตาลเท่าไหร่  วันนึงเราควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 24 กรัม หรือประมาณ 6 ช้อนชา น้ำตาลที่ได้รับเกินกว่าที่ต้องการจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมทำให้เป็นโรคอ้วน และส่งผลให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมาเช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ไขมันอุดตันในเส้นเลือด เป็นต้น และ 4. ตรวจดูว่ามีปริมาณเกลือ (โซเดียม) ในวันนึงเราควรได้รับโซเดียมไม่เกิน 2300 มิลลิกรัม การได้รับโซเดียมมากเกินไปเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคไต และความดันโลหิตสูง


“อาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป เป็นอาหารที่ปลอดกลูเตนโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เช่น ผลไม้และผักสด ปลา ไก่ เนื้อไร้มัน ถั่วชนิดต่างๆ ถั่วลันเตา ข้าวกล้อง ผลิตภัณฑ์จากนมไขมันต่ำ ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดพืชต่างๆ น้ำมันมะกอก


เช่นนี้แล้ว การเลือกรับประทานอาหารให้พอดี ถูกหลักอนามัย และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้สุขภาพร่างกายก็จะแข็งแรงสมวัยได้” คุณสุพิศ กล่าวทิ้งท้าย


 


 


เรื่องโดย : กิดานัล กังแฮ Team Content www.thaihealth.or.th


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


 

Shares:
QR Code :
QR Code