รู้จักป้องกันภัยอันตราย ลดการสูญเสีย
ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
แฟ้มภาพ
ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลยังคงเป็นเรื่องที่น่าวิตกอย่างยิ่ง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้จะถึงนี้ เป็นช่วงที่คนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวและกลับภูมิลำเนา ส่งผลให้ปริมาณการใช้รถใช้ถนนเพิ่มมากขึ้น จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ
จากกรณีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ โดยมีผู้ขับรถเก๋งเสียหลักชนราวเหล็กกั้นทางที่บางปะกง ก่อนไถลไปเกือบ 200 เมตร ชนต้นไม้ 3 ต้น คนขับอาการสาหัส และได้พาตัวเองออกมานั่งบริเวณเบาะหลัง พร้อมโทรศัพท์ไปแจ้ง 191 จนผ่านไปเกือบ 45 นาที มีผู้มาพบจึงแจ้งกู้ภัย แต่สุดท้ายผู้ขับรถเสียชีวิต จากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย ร่วมกับ โรงพยาบาลราชวิถี และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ได้ร่วมกันจัดงานแถลงข่าวอุบัติเหตุบนท้องถนน "ภัยอันตรายในชีวิตประจำวัน ที่ยังรอการแก้ไขอย่างเป็นระบบ" โดยนำเหตุการณ์ดังกล่าวมาเป็นกรณีตัวอย่าง ในการตระหนักถึงการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุ เพื่อช่วยลดการเสียชีวิตและพิการ
ศ.เกียรติคุณ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ นายกสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย ได้กล่าวว่า จากเหตุการณ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ ทำให้สะท้อนว่าเราต้องให้ความรู้กับประชาชน เมื่อเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินควรจะปฏิบัติอย่างไร ไม่ให้เกิดการเสียชีวิตและพิการได้ โดยแนะนำวิธีการช่วยเหลือเบื้องต้นว่า จากเหตุการณ์จะเห็นว่าคนขับรถยังมีสติที่จะช่วยเหลือตนเอง โดยพยายามกดโทรศัพท์คุยสายแจ้งไปที่ 191 ได้สำเร็จ และสามารถที่จะเคลื่อนย้ายตนเองจากเบาะหน้าไปยังเบาะหลังได้
"การกระทำเช่นนี้ต้องเน้นย้ำให้ประชาชนเข้าใจว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุและมีความบาดเจ็บทางร่างกายเกิดขึ้น ห้ามเคลื่อนย้ายตนเองเด็ดขาด ยกเว้นรถกำลังจะระเบิด มีควัน หรือไฟลุก เพราะในขณะที่เกิดการบาดเจ็บ ร่างกายภายนอกอาจจะไม่เห็นบาดแผลชัดเจน แต่การกระแทกอย่างรุนแรงจะส่งผลให้อวัยวะภายในฉีกขาดได้ เกิดการตกเลือด กระดูกหัก เป็นต้น ซึ่งหากผู้ขับรายนี้ไม่ได้เคลื่อนย้ายตนเอง และโทรไปที่เบอร์ 1669 ซึ่งรับหน้าที่ในเรื่องของอุบัติเหตุการแพทย์ฉุกเฉินโดยตรง ก็จะทำให้หน่วยกู้ชีพไปถึงจุดเกิดเหตุได้ทันท่วงที อาจทำให้ผู้ขับรายนี้รอดชีวิตได้" ศ.เกียรติคุณ นพ.สันต์ ระบุ
นพ.สันต์ ยังได้แนะนำสำหรับผู้ที่ไปพบเหตุการณ์เช่นนี้ว่า สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ โทร 1669 โดยระหว่างนั้นห้ามเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บเด็ดขาด ให้รอทีมหน่วยกู้ชีพเป็นผู้เคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บแทน แต่ปัจจุบันกลับพบว่าประชาชนมักเข้าใจผิด ด้วยความหวังดีมักจะอุ้มผู้บาดเจ็บขึ้นมา หรือพยายามหิ้วปีก การกระทำเช่นนี้จะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพออีกทั้งเราไม่สามารถรู้ได้ว่าการกระแทกอย่างรุนแรง จะไปกระทบอวัยวะภายในมากน้อยเพียงใด อาจทำให้เกิดอันตรายซ้ำเติมกับผู้บาดเจ็บถึงขั้นเสียชีวิตได้ เช่น ผู้บาดเจ็บอาจกระดูกคอหัก หากขยับไปทับไขสันหลังก็จะทำให้หยุดหายใจทันที หรือหากเกิดอาการกระดูกหลังหัก เมื่อไปขยับเขยื้อนก็จะมีความเสี่ยงในการกดทับไขสันหลัง ทำให้พิการถาวรได้ เป็นต้น ในส่วนของคนที่มีอาการหน้ามืดเป็นลม การช่วยเหลือที่ถูกต้อง คือ ให้นอนในลักษณะแนวราบ นอนหัวต่ำได้ยิ่งดี เพราะจะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจได้มากขึ้น
"การป้องกันอุบัติเหตุจะต้องทำอย่างเป็นระบบ และในทุกระดับ โดยมีหลายหน่วยงานได้ดำเนินการแล้ว อย่างเช่น โครงการเมาไม่ขับ ที่ สสส.และภาคีเครือข่ายได้ร่วมกันจัดทำผ่านสื่อรณรงค์ต่างๆ นอกจากนี้ การจัดการโครงสร้างพื้นฐาน โดยการมีถนนที่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการมีพื้นผิวจราจรที่ได้มาตรฐาน มีแบริเออร์ สัญญาณเตือนที่ชัดเจน เป็นต้น ก็เป็นส่วนสำคัญในการป้องกันอุบัติเหตุและการสูญเสียชีวิตได้" นพ.สันต์ กล่าว
ด้าน นพ.สมศักดิ์ ผ่องประเสริฐ แห่งประเทศไทย นายกสมาคมแพทย์อุบัติเหตุ บอกว่า โอกาสการเสียชีวิตส่วนใหญ่ เกิดจากปัญหาการเคลื่อนย้ายในที่เกิดเหตุ ซึ่งในบางครั้งละครโทรทัศน์ได้มีการนำเสนอวิธีช่วยเหลือ ที่ไม่ถูกต้อง ประชาชนจึงต้องมีความรู้เพื่อที่จะช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นได้อย่างปลอดภัย ซึ่งทางสมาคมแพทย์อุบัติเหตุแห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย และ สสส. ได้มีการให้ความรู้แก่ประชาชนผ่านโครงการ ส่งเสริมและป้องกันคนไทยไม่ให้เจ็บป่วยฉุกเฉิน เช่น วิธีการหยุดเลือด การเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยตามสภาพ ฯลฯ ถือเป็นการป้องกันชั้นแรกก่อนที่ทีมกู้ภัยจะมาถึง รวมถึงการฝึกฝนให้ความรู้ทางวิชาการกับเจ้าหน้าที่ ที่จะต้องเป็นผู้นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด และได้มีการจัดการประชุมวิชาการประจำปี โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศมาให้ความรู้กับแพทย์ พยาบาล อย่างสม่ำเสมอ ทั้งหมดนี้ถือเป็นการป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนนในระดับตติยภูมิ
อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตนเองหรือคนใกล้ชิด นอกจากการป้องกันอุบัติเหตุที่หลายหน่วยงานต้องร่วมมือกันแล้ว ผู้ขับขี่เองก็ต้องป้องกันตนเองด้วยเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการนอนหลับ พักผ่อนให้เพียงพอ ตรวจสอบสภาพรถยนต์ให้เรียบร้อย และมีน้ำใจแก่เพื่อนร่วมทางเพื่อให้ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ เราทุกคนได้กลับบ้านปลอดภัย