รู้จักดัชนี ‘นักอ่าน’
การสร้างวัฒนธรรมการอ่านเป็นหนึ่งในเป้าหมายการทำงาน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ และสร้างสังคมอุดมปัญญา ของหน่วยงานด้านสุขภาวะ และหน่วยงานการศึกษาในบ้านเราเป็นเวลากว่าทศวรรษ โดยมี การรณรงค์ให้คนไทย โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ ให้หลงรักตัวหนังสือ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของสื่อทั่วไป หรือสื่อดิจิทัล ที่เริ่มขยับเข้ามามี บทบาทกับการเรียนรู้ และการเรียนการสอนของเด็กไทยมากขึ้น
แฟ้มภาพ
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. คือหนึ่งในหน่วยงานที่ทำงานเพื่อรณรงค์ให้คนไทยเป็นนักอ่าน เพราะมองว่า การอ่านนั้นเป็นกลไกหนึ่งที่ทำให้เกิดกระบวนการพัฒนาทางความคิด และสร้างภูมิปัญญาให้คนไทย ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่ การสร้างคนคุณภาพที่จะช่วยพัฒนาประเทศชาติในอนาคตต่อไปได้
แม้ว่าในรอบทศวรรษที่ผ่านมา เราเห็นสถิตินักอ่านในประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์ไม่สูงมากนัก หากเทียบกับประเทศอาเซียน หรือประเทศอื่นๆ ในโลก แต่จากกิจกรรมที่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมกันจัดขึ้น อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้จากการขยันอ่าน ก็ทำให้เรา ได้เห็นพัฒนาการด้านการก่อเกิดนักอ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กเล็ก ที่พ่อแม่ยุคใหม่พยายามทำให้การอ่านหนังสือเป็นเรื่องน่าสนุกขึ้น
ในการประชุมระดมแนวคิด "การพัฒนาตัวชี้วัดวัฒนธรรมการอ่าน ของคนไทย" ซึ่งจัดโดย แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ เครือข่ายเสียงประชาชน (We Voice) เป็นหนึ่งในเวทีที่ชี้ให้เห็นกระบวนการทำงานของภาคีสมาชิกรักการอ่าน เพื่อสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้
รศ.ดร.วิลาสินี พิพิธกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักสร้างเสริม วิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าวว่า ในยุคนี้การใช้เครื่องมือที่สามารถชี้วัด และประเมินถึงสถานการณ์การสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านของคนไทย จะเป็นการสะท้อนให้เห็นทั้งภาพรวม และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจาก การอ่านหนังสือ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดแนวทางหนุนเสริมการสร้างวัฒนธรรมการอ่านได้ทั้ง ระดับท้องถิ่น และระดับประเทศได้
"เราได้จัดทำดัชนีชี้วัดการอ่านขึ้น โดยมีหัวใจสำคัญคือ ตัวเลขเหล่านี้ จะสามารถนำไปเป็นแนวทางพัฒนา สร้างแรงจูงใจทำให้คนไทยมีพฤติกรรม การอ่าน และรักการอ่านได้มากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างวัฒนธรรมการอ่าน และการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย" รศ.ดร.วิลาสินี กล่าว
สุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. อธิบายว่า ในการสำรวจเพื่อจัดทำดัชนีชี้วัดการอ่าน ได้แบ่งประชากร ออกเป็น 2 กลุ่ม ไก้แก่ กลุ่มประชากรทั่วไปที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป และ กลุ่มเด็กปฐมวัยที่อายุต่ำกว่า 6 ปี โดยผลสำรวจกลุ่มประชากรทั่วไป 1,753 ตัวอย่าง พบว่า ประชาชนไทยใช้เวลาในการอ่านผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ 166.0 นาทีต่อสัปดาห์ และอ่านผ่านสื่ออิเลคทรอนิกส์มากกว่าสื่อสิ่งพิมพ์ โดยเฉพาะสื่อที่มีการแชร์ผ่านสังคมออนไลน์ และยังพบว่าสาเหตุที่ทำให้ไม่อยากอ่านหนังสือ หรือสื่ออ่านต่างๆ มากที่สุดคือ ชอบฟังวิทยุและดูทีวีมากกว่า ร้อยละ 30.7 รองลงมาคือ ไม่มีเวลาอ่าน 29.0 เป็นต้น
สำหรับกลุ่มเด็กปฐมวัย มีการรวบรวม 398 ตัวอย่าง จากพ่อแม่ผู้ปกครอง พบว่า ระยะเวลาที่ใช้ในการอ่านหนังสือให้เด็กฟังเท่ากับ 709.5 นาทีต่อ สัปดาห์ แบ่งเป็นการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ให้เด็กฟังเฉลี่ย 615.8 นาทีต่อสัปดาห์ และอ่านผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 70.9 นาทีต่อสัปดาห์ และการสำรวจกิจกรรม ที่ทำร่วมกันในครอบครัวที่ช่วยส่งเสริมการรักการอ่าน หรือการสร้างวัฒนธรรมการอ่านให้กับเด็กในรอบ 1 เดือนพบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 62.6 มีการทำกิจกรรมร่วมกัน โดยร้อยละ 83.2 จะอ่านหนังสือให้เด็กฟัง รองลงมาเป็นการให้คำชมเวลาเด็กอ่านหนังสือ ร้อยละ 81.3 และร้อยละ 78.6 ใช้เวลาอ่านหนังสือด้วยกัน
"20 ปีของการทำงานกับภาครัฐ เอกชน ชุมชนท้องถิ่น และ 8 ปีกับการทำงานเชิงลึก เกิดผลการเปลี่ยนแปลง มากมาย ตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมาได้ขับเคลื่อน "นครแห่งการอ่าน" โดยมี 6 จังหวัดนำร่อง ร่วมสร้างแรงกระตุ้นรวมถึงรณรงค์กิจกรรมที่ ส่งเสริมการอ่านให้เกิดขึ้นในพื้นที่ เป็นต้นสำหรับการจัดทำดัชนีชี้วัด วัฒนธรรมการอ่านของคนไทย ถือเป็นฐานข้อมูลสำคัญที่ช่วยเพิ่มมาตรฐาน ของการส่งเสริมการอ่านให้เข้มแข็ง และเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น" สุดใจ กล่าว
ทางด้าน ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า การพัฒนาตัวชี้วัดนอกจากการสำรวจจากประชาชน ควรเพิ่มข้อมูลทางด้านปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้เกิดการอ่าน เช่น จำนวนร้านหนังสือ ห้องสมุด หรือจำนวนการลงทุนพัฒนาการเรื่องการอ่านของภาครัฐ เป็นต้น นอกจากนี้ การนำสื่อมาใช้ในการพัฒนาด้านการอ่านด้วยการสร้างค่านิยม แทนการสะท้อนปัญหา จะช่วยเสริมการอ่านให้เกิดขึ้นได้ในอีกระดับ
"นอกจากการมีนโยบายที่ดี ความร่วมมือของครอบครัว และโรงเรียน เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมการอ่าน ที่จะต้องก้าวเดิน ไปด้วยกัน" ดร.อมรวิชช์ กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ