รร.บ้านบางกะปิ นำร่องวัคซีนช่วยเด็กห่างไกลสุรา

ประเทศไทยมีนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 260,000 คน และเป็นเด็กอายุน้อยลงเรื่อยๆมีเด็กอายุ 5 ขวบที่ทดลองดื่มน้ำเมาซึ่งจากการศึกษาวิจัยของประเทศสหรัฐพบว่า ปกติสมองมนุษย์มีการพัฒนาทางความคิดต่อเนื่องจนถึงอายุ25 ปี การดื่มเหล้า-เบียร์ในวัยรุ่นจะทำให้ความจำลดลงมาก 10% สมองทึบ เมื่อเทียบกับคนไม่ดื่มโดยเฉพาะหากเริ่มดื่มก่อนอายุครบ15 ปีมีโอกาสติดน้ำเมาในระยะยาวเพิ่มขึ้น 4 เท่า

สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนาจึงร่วมกับกรมสรรพสามิตจัดโครงการ “วัคซีนเด็กไทยห่างไกลสุรา” โดยนำร่องใน 10 โรงเรียนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อช่วยตอกย้ำและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้เด็กๆ และครอบครัว ซึ่งวัคซีนป้องกันนั่นคือ การจัดกิจกรรมสร้างความตระหนักในเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นหลัก ตลอดจนรับสมัครครอบครัวน้องๆ ร่วมค่ายครอบครัวเลิกเหล้า

สำหรับโรงเรียนนำร่องที่ขอความร่วมมือ ได้แก่ โรงเรียนวัดโพธิ์เรียง โรงเรียนวัดคฤหบดี โรงเรียนวัดมะลิ โรงเรียนวัดดงมูลเหล็ก โรงเรียนวัดสุทธาราม โรงเรียนราชวัตรวิทยา โรงเรียนอัมพวันศึกษา โรงเรียนสาธิตจันทรเกษม โรงเรียนบ้านบางกะปิ และโรงเรียนบ้านบัวมล

ว่าที่ร้อยตรีหญิงภรภัทร ชุมโสตร์ รองผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านบางกะปิ เขตบางกะปิ หนึ่งในโรงเรียนนำร่องบอกว่า สนับสนุนโครงการแบบนี้ และสอดคล้องกับโครงการต้านยาเสพติดที่โรงเรียนดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกให้กับเด็กๆ จากนั้นพวกเขาจะส่งเสียงไปยังพ่อแม่ผู้ปกครองเพื่อให้ลดละ เลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และกิจกรรมลักษณะนี้สามารถเป็นต้นแบบในการดำเนินโครงการห่างไกลสุราสำหรับโรงเรียนอื่นๆด้วย ที่ผ่านมาโรงเรียนร่วมกับนักเรียน ครู บุคลากรในสถานศึกษา เดินรณรงค์ต้านยาเสพติด ร่วมถึงเหล้า บุหรี่ ในบริเวณชุมชนรอบโรงเรียน มีจัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับพิษภัยสิ่งเสพติด และการส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและนักวิชาการสาธารณสุข ได้ร่วมให้ความรู้เรื่องสุขภาพและอันตรายจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หน้าเสาธง นี่คือการปลูกฝังตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงนักเรียนชั้นประถมตอนปลาย

“ในโรงเรียนมีนักเรียน 3,000 คน มีครูคอยปลูกฝังให้ความรู้แนวทางปฏิบัติ ทำเพื่อสร้างเสริมสุขภาพที่ดี หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำลายสุขภาพ ซึ่งครูก็ผ่านการอบรมส่งเสริมต่อต้านยาเสพติดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เหล่าแม่พิมพ์จะถ่ายทอดประชาสัมพันธ์ความรู้ผ่านรูปแบบต่างๆ ในโรงเรียน โครงการนี้เราร่วมหนุนฉีดวัคซีนมุ่งเน้นเด็กนักเรียนชั้นประถมปลาย ป.4 ป.5 และ ป.6 มีบ้างที่เด็กอยากลองหรือทำตามอย่างผู้ใหญ่”

รองผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านบางกะปิ กล่าวอีกว่า ต้องการรณรงค์ส่งเสริมให้เด็กลด ละ เลิกสิ่งเสพติดให้มากที่สุด แม้ปัจจุบันโรงเรียนยังไม่พบปัญหานี้ ทั้งยังผ่านประเมินจากโครง การสภากาชาดไทยเป็นโรงเรียนปลอดสารเสพติด 100% หรือที่เรียกว่า โรงเรียนสีขาว แต่การจัดกิจกรรมต้องต่อเนื่องติดตามตรวจสอบนักเรียนตลอด เนื่องจากสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กและสื่อโฆษณาต่างๆรวมถึงผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม จะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เด็กเกิดพฤติกรรมเลียนแบบได้ และอีกทางหนึ่งที่โรงเรียนเน้นคือระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยครูประจำชั้นเยี่ยมบ้าน รู้จักสภาพครอบครัว ได้ดำเนินการกับนักเรียนทุกคน ไม่เฉพาะกลุ่มเสี่ยง และมีให้คำปรึกษา เป็นนโยบายที่ปราโมทย์ จิรธรรม ผู้อำนวยการโรงเรียนเห็นความสำคัญตลอด

“ฉีดวัคซีนห่างไกลสุรานอกจากสร้างภูมิคุ้มกันเด็กไทย ยังส่งผลให้นักเรียนรู้ถึงคุณโทษสารเสพติด แยกแยะสิ่งดีและไม่ดี สร้างความตระหนักได้ ทำให้ทุกคนนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและครอบครัว ส่งผลดีในอนาคตหากพบเจอก็ไม่ข้องแวะ ทำให้มีอนาคตรุ่งโรจน์มากขึ้น แล้วยังส่งผลดีต่อสุขภาพ”

จริงๆ แล้วในการเรียนการสอนของโรงเรียนนำร่องแห่งนี้ ได้สอดแทรกพิษภัยสุราและสิ่งเสพติดในวิชาต่างๆ ทั้งจริยธรรม สุขศึกษา พลศึกษา สังคมศึกษา และการร่วมโครงการนี้ รอง ผอ.ยังกล่าวจะเน้นย้ำให้ครูทำกิจกรรมหลายรูปแบบที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น และจะขยายผลไปสู่ชุมชนใกล้เคียง

ในยุคที่กระแสสุขภาพกำลังมาแรง การลด ละ เลิกสิ่งเสพติดและน้ำเมาเป็นอีกหนึ่งในกิจกรรมจำนวนมาก ที่เกิดขึ้นเพื่อผลักดันให้สถานศึกษาแห่งนี้มีบทบาทสำคัญ บ่มเพาะเด็กไทยปฏิเสธน้ำเมาผ่านนโยบายเกี่ยวกับสุขภาพ ว่าที่ร้อยตรีหญิงภรภัทรกล่าวทิ้งท้ายว่า นอกจากจัดสภาพแวดล้อมให้ถูกลักษณะ ส่งเสริมสุขภาพกายและจิตใจ มีอาหารถูกลักษณะ มีการออกกำลังกาย บริการอนามัยโรงเรียน สุขศึกษาโรงเรียน ลด ละ เลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯลฯ มันยังส่งผลดีต่อสุขภาพนักเรียน ลดปัญหาในโรงเรียนและสังคม ทำให้นักเรียน ครูทุกคนเข้าถึงสุขภาวะที่ดี ถ้าทุกโรงเรียนเน้นแนวทางนี้กันมากๆ ก็จะส่งผลดีต่อโรงเรียนและประเทศชาติ

“ฉีดวัคซีนห่างไกลสุรานอกจากสร้างภูมิคุ้มกันเด็กไทย ยังส่งผลให้นักเรียนรู้ถึงคุณโทษสารเสพติด แยกแยะสิ่งดีและไม่ดี สร้างความตระหนักได้ ทำให้ทุกคนนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและครอบครัว ส่งผลดีในอนาคตหากพบเจอก็ไม่ข้องแวะ ทำให้มีอนาคตรุ่งโรจน์มากขึ้น แล้วยังส่งผลดีต่อสุขภาพ”

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
Shares:
QR Code :
QR Code