รร.บ้านจันทร์ มุ่งสร้างทักษะชีวิต เด็กมีวิชาชีพ
ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
"สิ่งที่ชุมชนวัดจันทร์ต้องการ แม้เป็นชนเผ่าแต่ก็คาดหวังให้ลูกเป็นเจ้าคนนายคน ด้วยความหวังของพ่อแม่ไม่ผิดแต่เด็กเรียนจบออกมาส่วนมากก็กลับมาว่างงานอยู่แถวบ้าน เพราะทักษะชีวิตไม่เกิด ก็ไม่รู้จะทำอะไร ทั้งที่กิจการค้าขายมีมาก แต่คิดไม่เป็น""สมจิต ตาคำแสง" ผอ.โรงเรียนบ้านจันทร์สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้น
โรงเรียนบ้านจันทร์ อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ เปิดสอนระดับอนุบาล-ม.3 มีครู 24 คน นักเรียน 265 คน จัดการเรียนรู้ในบริบทของพหุ วัฒนธรรม(ชาติพันธุ์)เป็นโรงเรียนบนยอดดอยโอบล้อมด้วยขุนเขา ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ชุมชน และวัด
จุดเปลี่ยนของการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับวิถีของโรงเรียนเน้นเด็กเป็นสำคัญให้เรียนรู้อย่างมีความสุขเริ่มต้นด้วยการปรับเปลี่ยนเป้าหมายของโรงเรียน โดยมีการสำรวจและสอบถามความสมัครใจของพ่อแม่ ผู้ปกครองและชุมชน ว่าถ้าโรงเรียนบ้านจันทร์จะจัดการศึกษาในรูปแบบการจัดการศึกษาที่ สร้างสุขภาวะในโรงเรียนจะพอใจหรือไม่ แต่ทั้งนี้จะไม่ทิ้งทักษะพื้นฐานอ่านออก เขียนได้ แต่จะเพิ่มทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ ผลปรากฏว่าทุกคนเห็นดีเห็นงามโดยการหันกลับมามองเนื้องานที่เกิดขึ้นจริง จนบอกว่าให้ลูกทำเกษตร ทำอาชีพอะไรก็ได้ที่มีความรู้ เพื่อให้เขาสามารถอยู่รอดได้ดังนั้น เมื่อทัศนคติเปลี่ยนไป ความร่วมมือก็กลับมา
การจัดการศึกษาที่สร้างสุขภาวะในโรงเรียน คือการพัฒนากระบวนการบริหารจัดการและการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนที่มุ่งเสริมสร้างสุขภาวะผู้เรียนที่สอดคล้องกับบริบทเฉพาะของแต่ละโรงเรียน ซึ่งขณะนั้นได้เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างพลังอำนาจการจัดการศึกษาที่สร้างสุขภาวะในโรงเรียน โดยมูลนิธิสถาบันวิจัยระบบการศึกษา(IRES) เป็นผู้ดำเนินโครงการ จากการสนับสนุนของสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ทั้งนี้ การพัฒนาโรงเรียนภายใต้แนวคิดการเสริมสร้างสุขภาวะโดยใช้ฐานโรงเรียน มีองค์ประกอบ 5 อย่างคือ ผู้เรียนเป็นสุข, โรงเรียนเป็นสุข, สภาพแวดล้อมเป็นสุข,ครอบครัวเป็นสุข และชุมชนเป็นสุข ทั้ง 5 องค์ประกอบมีความเกี่ยวเนื่องและส่งผลต่อกัน เนื่องจากต้องมีเป้าหมายเพื่อสร้างเสริมให้"ผู้เรียนเป็นสุข" โดยการปรับสภาพลดปัจจัยเสี่ยง จัดโครงสร้างและระบบต่างๆให้โรงเรียน สภาพแวดล้อม ครอบครัวและชุมชนเป็นพื้นที่ปลอดภัย และส่งเสริมสุขภาวะของผู้เรียนทั้งด้านกาย ใจสังคม และปัญญา ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดที่จะนำมาวัดผลสำเร็จที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน
ผอ.สมจิต กล่าวว่าสิ่งที่ได้กับตัวเด็ก ด้วยบริบทชาติพันธุ์ ปกติที่พยายามสอนอย่างไรก็ได้ให้เด็กรู้ภาษาไทยได้มากที่สุด ครูก็กังวลเด็กก็กังวล เมื่อมาปรับวิธีการสอนโดยพาเด็กออกน้องห้องเรียนมากขึ้น มาเรียนรู้ในศาลา ในสวนแปลงผัก เล้าไก่ ในวัด ชุมชน เด็กเริ่มเรียนรู้อย่างมีความสุข สนุกสนานตื่นเต้นกับการบูรณาการภาษาอังกฤษในสวน ท่องสูตรคูณ ได้ก็เพราะไข่ เด็กคิดเป็นระบบจากภาพจริงที่เกิดขึ้น ดังนั้น การเรียนรู้จากปัญหาเป็นฐาน จึงสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กได้มาก
"สิ่งที่ได้กับครู โดดเด่นและเห็นผลสำเร็จที่ดีมาก คือกระบวนการพัฒนาครูเชิงวิชาชีพให้เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ หรือPLC มีการพูดคุยในเรื่องที่อยากรู้ และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาทั้งหมด แม้ครูโรงเรียนบ้านจันทร์จะอยู่บนดอย แต่ครูของเราทุกคนรู้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะการจัดการเรียนการสอน Active learning ที่เรียนรู้จากปัญญาเป็นฐาน ซึ่งตอนนี้ครูทุกคนเห็นดีเห็นงามและมีกำลังใจที่จะทำ และทำด้วยความสุข โดยทางโรงเรียนจะพูดคุยกับครูทุก วันจันทร์ พุธ ศุกร์"
ผอ.สมจิต กล่าวและว่า สำหรับผลการดำเนินงานเชิงวิชาการ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (O NET) พบว่า วิชาภาษาไทยมีคะแนนสูงถึง 47% จากที่คาดว่าไม่เกิน 30% สูงเป็นอันดับ 1 ในอำเภอกัลยาณิวัฒนา แต่โรงเรียนก็ยังเชื่อว่าวัดไม่ได้ เพราะคะแนน 30-40 ข้อ เด็กอาจจะกาแม่น!!!เราก็ยังไม่ศรัทธาคะแนนโอเน็ตที่ออกมาอยู่ดี เพราะเด็กที่อยู่บ้านจันทร์บางคนคะแนนสูงแต่เรียนไม่รู้เรื่องเลย ดังนั้นโรงเรียนหวังผลระยะยาวในการที่เด็กมีพฤติกรรมเปลี่ยน มีความคิดความอ่านที่ดี เฉลียวฉลาดมากขึ้น เพราะมีวิธีคิดที่เปลี่ยนไป
อันนี้วัดได้จากรางวัลการันตีความสำเร็จ ปี 2558 รางวัลศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง 1 ใน 41 แห่งทั่วประเทศโดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ รางวัลต้นแบบนักเรียนไทยสุขภาพดี (Best of The Best) ปี 2559 รางวัลMOE Award ของกระทรวงศึกษาธิการในสาขาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
"โอเน็ตและรางวัลต่างๆ คือผลพลอยได้ แต่เป้าหมายความสำเร็จของโรงเรียนจริงๆ คือ เด็กนักเรียน ซึ่งเป็นเด็กด้อยโอกาสที่ต้องได้รับการพัฒนา โดยนวัตกรรมของโรงเรียนสุขภาวะ นำมาปรับใช้ได้ทุกรูปแบบแม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม สามารถสำเร็จได้ทุกเรื่อง" ผอ.สมจิต กล่าวทิ้งท้าย