ยกระดับอาหารริมทาง สะอาด ปลอดภัย
ที่มา : เว็บไซต์เดลินิวส์
ภาพโดย สสส. และเว็บไซต์เดลินิวส์
ยกระดับอาหารริมทาง สะอาด ปลอดภัย ส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทย
เมื่อวันที่ 15 ส.ค. นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข กล่าวตอนหนึ่งในการเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาแนวทางการดำเนินงานพัฒนาและยกระดับมาตรฐานอาหารริมบาทวิถี ภายใต้โครงการพัฒนาการจัดการอาหารริมบาทวิถีปลอดภัย สร้างเสริมสุขภาพ และสนับสนุนการท่องเที่ยวไทย ว่า ปัจจุบันผู้บริโภคนิยมกินอาหารมื้อหลักเป็นอาหารปรุงสำเร็จที่ร้านหรือแผงลอยจำหน่ายอาหารริมบาทวิถี (Street Food) มากขึ้น ข้อมูลปี 2561 มีแผงลอยจำหน่ายอาหาร 93,261แห่ง ผ่านมาตรฐานอาหารสะอาดรสชาติอร่อย 79,012 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 84.72 รัฐบาลจึงมีนโยบายที่จะพัฒนาและยกระดับมาตรฐานอาหารริมบาทวิถีให้ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัยในการบริโภค ไม่มีการปนเปื้อนเชื้อโรคและสารเคมีที่อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ รักษาเอกลักษณ์ของอาหารริมบาทวิถีในแต่ละพื้นที่ที่มีความโดดเด่นแตกต่างกัน เป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมท้องถิ่น ส่งเสริมการท่องเที่ยว ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และทำให้บ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม โดยให้หน่วยงานภาครัฐบูรณาการกับภาคีเครือข่าย เช่น ชมรม/สมาคมผู้ประกอบการอาหารริมบาทวิถี ชมรมอนุรักษ์วัฒนธรรม ร่วมกันพัฒนาอาหารริมบาทวิถีในพื้นที่ให้ได้มาตรฐานสุขลักษณะ สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่น มีกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ เช่น การจัดงานเทศกาลต่าง ๆ ส่งเสริมการแต่งกายพื้นเมือง และมีการจำหน่ายอาหารประจำถิ่น ซึ่งปี 2562 ได้ให้องค์ปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนร่วมกับภาคีเครือข่ายให้นำรูปแบบการดำเนินงานของพื้นที่ต้นแบบในปี 2561 มาดำเนินการ
ด้าน พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัย ได้จัดทำโครงการพัฒนาอาหารริมบาทวิถีปลอดภัย สนับสนุนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยววิถีไทย เพื่อพัฒนาต้นแบบการจัดบริการอาหารริมบาทวิถี ที่ได้มาตรฐานสุขาภิบาลอาหาร ส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของพื้นที่ ดำเนินการในพื้นที่เดิมปี 2561 จำนวน 12 จังหวัดที่ได้พัฒนาเป็นต้นแบบ ได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี ชลบุรี บุรีรัมย์ กาฬสินธุ์ อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ตรัง และสงขลา และในปี 2562 จะขยายพื้นที่ดำเนินการใหม่อีก 12 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน แพร่ ชัยนาท ลพบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรปราการ ขอนแก่น นครพนม ชัยภูมิ ยโสธร กระบี่ และสตูล โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)