มือปราบหน้าใส หัวใจไร้แอลกอฮอล์
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้กลายเป็นเสมือนหนึ่งในเครื่องดื่มแก้กระหายที่พบเห็นและหาซื้อได้ง่ายตามร้านค้าทั่วไป และมีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่พึงพอใจในรสชาดของมัน แม้จะรู้ว่าเมื่อบริโภคเป็นจำนวนมากจะเกิดผลเสียต่อร่างกาย ทั้งจากอาการมึนเมาจนควบคุมสติและร่างกายของตัวเองไม่ได้ หรืออาจเสียชีวิตหากมีปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดมากเกินไป และจะต้องเสียชีวิตจากโรคตับแข็งเมื่อดื่มสะสมเป็นระยะเวลานานหลายปี แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้นักดื่มเกรงกลัวแต่อย่างใด
รัฐบาลไทยโดยการผลักดันและกดดันจากคนหลายกลุ่ม ที่เห็นว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์น่าจะจัดอยู่ในหมวดหมู่ของสิ่งเสพติดชนิดหนึ่ง เพราะเมื่อเสพแล้วให้ผลคล้ายกัน การจำหน่าย และการเสพน่าจะเป็นสิ่งผิดกฎหมายเหมือนยาเสพติดประเภทอื่นๆ ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องออกพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2551 มีข้อห้ามหลายอย่างเกี่ยวกับการจำหน่าย และจำกัดสถานที่ดื่ม และก็ได้ผลในระดับหนึ่ง มาถึงวันนี้นับเป็นเวลากว่า 2 ปีที่ พรบ.มีผลบังคับใช้ ซึ่งหากพูดกันแบบตรงไปตรงมาเรียกได้ว่า กฎหมายอาจสร้างความลำบากในการดื่มมากขึ้น แต่ไม่ได้ลดจำนวนของนักดื่มลงเลย นั่นแสดงให้เห็นว่าหยาดเหงื่อและความทุ่มเทของคนที่ทำงานผลักดันกฎหมายฉบับนี้ ยังไปไม่ถึงดวงดาวเพราะยังไม่บรรลุเจตนารมณ์ขั้นสูงสุดคือ การเลิกเหล้า
คนชนบทหลายคนได้ยึดถือการดื่มสุราให้เป็นวิถีหนึ่งในชีวิตของตัวเอง ชาวบ้านบางคนขายแรงงานได้วันละไม่กี่สิบบาท เพื่อนำมาเป็นค่าเหล้า หลายครอบครัวต้องสูญเสียช้างเท้าหน้าและบุตรหลานของพวกเขาไป จากการดื่มสุราจนนำไปสู่การเสียชีวิตในหลายๆสาเหตุ นี่คือความจริงที่ยังเกิดขึ้นกับสังคมไทย
การทำให้คนเลิกเหล้าได้เองน่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด หากคิดจะลดจำนวนนักดื่มลง แนวคิดนี้มีคนหลายกลุ่มหลายองค์กร พยายามที่จะทำให้เป็นจริง แต่ก็ต้องยอมจำนนให้กับดีกรีที่อยู่ในขวด ทำให้ วิทยา บุญฉวี ประธานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าจังหวัดอุบลราชธานี ต้องหาวิธีการใหม่ที่จะต่อสู้กับน้ำเพชฌฆาต เขาต้องลงไปฝังตัวที่บ้านนาห้าง ชุมชนเล็กๆ เรียบลุ่มน้ำโขง อำเภอโพธิ์ไทร จ.อุบลฯ นานแรมปี เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย หากแต่กลุ่มที่ว่ากลับไม่ใช่นักดื่มที่คนทำงานด้านนี้น่าจะต้องจู่โจมเป็นอันดับแรก แต่กลุ่มเป้าหมายของเขาก็คือ เด็กๆในชุมชน
วิธีการของวิทยาไม่ได้ไปพูดเรื่องการงดเหล้าแม้แต่น้อย เขาใช้วิธีการมีส่วนร่วมในชุมชน เริ่มจากเด็กๆที่ต้องศึกษาเรียนรู้รากเหง้าของตัวเอง รื้อฟื้นสื่อชุมชนอย่างการร้องสรภัญญะคืนกลับมา หรืออะไรก็ตามที่จะทำให้พวกเด็กๆได้ค้นพบตัวตนของตัวเอง ทำให้ไม่ยากเลยที่จะชักชวนผู้ใหญ่เข้ามามีส่วนร่วมด้วย หรือแม้กระทั่งผู้นำชุมชนเองก็ยังอยากที่จะเข้ามาดูว่าลูกหลานทำอะไรกัน นั่นจะเข้าทางของวิทยาทันที เขาใช้โอกาสนี้ค่อยๆเติมเรื่องพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านลูกหลานของชาวบ้านเอง มันเป็นวิธีที่แสนคลาสสิก ง่ายๆแต่ได้ผล ผู้ใหญ่อายเด็ก หลายคนเลิกเหล้าได้เอง ทำให้ปัจจุบันชุมชนแห่งนี้กลายเป็นชุมชนปลอดเหล้าและได้รับการยกย่องจากองค์กรอื่นว่าเป็นโครงการที่ทำได้จริง
การรณรงค์งดเหล้าผ่านเด็กๆจึงเป็นยุทธวิธีที่ “วิทยา บุญฉวี” ใช้มาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเขาพยายามหาแนวทางใหม่ๆเข้ามาประยุกต์เพื่อขยายผลการทำงาน เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เขาได้ร่วมกับ เครือข่ายละครรณรงค์งดเหล้า(ดีดี๊ดี) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)เปิดอบรมหลักสูตรทักษะการแสดงละครให้กับเยาวชนจากหลายพื้นที่ของจังหวัดอุบลฯประมาณ 50 คน ที่อิงนภารีสอร์ทแอนด์สปา อำเภอเมืองอุบลราชธานี น้องๆทั้งหมดเป็นแกนนำกลุ่มกิจกรรมขับเคลื่อนงานด้านงดเหล้าในโรงเรียน ซึ่งหลังจากผ่านการอบรมครั้งนี้แล้ว เด็กๆกลุ่มนี้จะกลับไปที่โรงเรียนและชุมชน แล้วจะนำทักษะด้านละครไปประยุกต์ใช้ในงานการรณรงค์งดเหล้าของพวกเขาต่อไป
วิทยา บอกว่าตอนนี้มองเด็กและครูในโรงเรียนเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการเคลื่อนงานงดเหล้า เพราะจากการวิเคราะห์ที่ผ่านมาพบว่าครอบครัวของเด็กไม่สามารถบอกหรือสอนลูกหลานได้แล้ว เพราะส่วนใหญ่มัวยุ่งอยู่กับการทำมาหากิน จึงไม่มีเวลาให้เด็กได้อย่างเต็มที่ จึงเกิดปัญหาขึ้นมากมาย โดยเฉพาะการดื่มสุราในเด็กและเยาวชนที่เป็นนักดื่มหน้าใหม่นั้นมีเพิ่มขึ้น ฉะนั้นโรงเรียนจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยดูแลเด็กได้ แต่หากไปบอกแบบบีบบังคับมากเกินไปเด็กก็ไม่ทำตาม เราจึงต้องหากิจกรรมที่เหมาะสมกับเขามาเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และต้องเป็นเชิงบวกด้วย กิจกรรมละครก็เป็นเครื่องมือเหมือนกัน วันนี้เรานำเด็กมาจาก 2 กลุ่มหลักๆ คือจากพื้นที่ ต.สำโรงซึ่งเป็นพื้นที่เดิมที่เราทำงานอยู่แต่เรื่องละครเป็นเรื่องใหม่สำหรับพวกเขา และอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มเยาวชนจาก ต.กาบิน อ.กุดข้าวปุ้นและกลุ่มที่อยู่ในเมืองอันนี้เป็นกลุ่มใหม่ที่เราทำงานด้วย คือเราอยากให้เด็กมีความหลากหลายมากขึ้น ที่มาทั้งหมดนี้เป็นแกนนำทั้งนั้นพอกลับไปพื้นที่พวกเขาก็จะได้เอาตรงนี้ไปประยุกต์ใช้ต่อได้ ซึ่งนอกจากพวกเขาจะได้ในเรื่องของทักษะการเล่นละครแล้วสิ่งที่ได้โดยไม่รู้ตัวคือการฝึกใช้ความคิดสร้างสรรค์ สิ่งนี้สามารถนำไปใช้ทั้งในการดำเนินชีวิตและการเรียนได้
การขยายผลการทำงานของเครือข่ายองค์กรงดเหล้ายังไม่หยุดอยู่แค่นี้ วิทยา บอกว่าหากจะให้ได้ผลดีต้องทำให้ยั่งยืนด้วย เขาจึงสร้างทายาทในการทำงานขึ้นมาอีกในนาม เครือข่ายพลังเยาวชนรณรงค์เฝ้าระวังภัยแอลกอฮอล์ จ.อุบลราชธานี ด้วยเหตุผลที่ว่าเยาวชนคือวัยสร้างสรรค์สังคม เปี่ยมด้วยจินตนาการ และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งได้ศุกวสันต์ วงศ์ธนู หรือบอม เยาวชนผู้เคยร่วมอุดมการณ์ต่อต้านการดื่มสุราจากอำเภอพิบูลมังสาหาร มาเป็นผู้ประสานงานเครือข่าย ซึ่งเมื่อวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมาพวกเขาชักชวนเพื่อนๆ น้องๆเยาวชนจากหลายๆที่มาได้กว่า 100 คน จนแน่นห้องประชุมเล็กๆของวัดทุ่งศรีเมือง พวกเขาคือสมาชิกของเครือข่ายที่จะกลับไปเฝ้าระวังภัยจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่ของตน วันนี้พวกเด็กๆได้รับการติดอาวุธทางปัญญาโดยให้ความรู้ทั้งพิษภัยและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยังได้ฝึกฝนวิธีการทำสื่อหลายอย่าง เช่น การเขียนข่าว การอ่านข่าว การเป็นผู้ประกาศ สิ่งเหล่านี้พวกเขาจะต้องใช้ในการทำงานเฝ้าระวัง
กิจกรรมทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในวิถีแห่งการต่อสู้กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเยาวชนที่เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างและได้ผลงานเป็นรูปธรรมมากขึ้น และมากกว่างานของผู้ใหญ่ ที่จัดขึ้นในวันเดียวกัน โดยได้ออกมาประกาศเจตนารมณ์เรื่องการงดเหล้าบนเวทีใหญ่ยักษ์กลางทุ่งศรีเมือง ท่ามกลางผู้เข้าร่วมจำนวนมากกว่าเด็กๆในห้องเล็กๆนี้หลายสิบเท่า แต่หลังจากนี้ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
การผลักดันนโยบายสาธารณะในการบังคับใช้ พรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 กรณีสถานศึกษาเป็นเขตปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสร้างกระแสในพื้นที่ให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและทัศนคติเกี่ยวกับการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นภารกิจหลักที่เด็กๆจะต้องกลับไปทำงานหลังจากวันนี้
ที่มา:ทีมข่าว ศสอ.
update: 30-06-53
อัพเดตเนื้อหาโดย: คีตฌาณ์ ลอยเลิศ