มองศิลปะเด็ก ผ่านวัฒนธรรมเงา บ้านดงบัง

มองศิลปะเด็ก ผ่านวัฒนธรรมเงา บ้านดงบัง 

 

            วัฒนธรรมเงาที่จะกล่าวถึงในครั้งนี้ ก็คือวัฒนธรรมการเล่นเงา หุ่นเงา ละครเงาที่เรียกว่า หนังตะลุง แต่ในการรับรู้ของชาวไทยทั่วไป เมื่อพูดถึงหนังตะลุงเราจะคิดถึงศิลปะการแสดงท้องถิ่นทางภาคใต้ของไทย ที่มีการแสดงเป็นเรื่องราวประกอบบทพากย์ร้อยกรองสำเนียงท้องถิ่น ในอดีตก่อนมีภาพยนตร์หนังตะลุงเป็นมหรสพที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย

 

            แท้จริงแล้ว หนังตะลุงไม่ได้มีเฉพาะภาคใต้ ในภาคอีสานก็มีหนังตะลุง ซึ่งมีชื่อเรียกขานหลากหลายชื่อ ทั้งหนังประโมทัย หนังปราโมทัย หนังปะโมทัย หนังบักตื้อ หนังบักป่องบักแก้ว การเล่นหนังปะโมทัยนั้น เป็นการละเล่นที่ผสมผสานระหว่างหมอลำและหนังตะลุง มีการผสมผสานวัฒนธรรมทางภาษาไทยไว้ด้วย เนื่องจากตัวละครที่เป็นพระเอกนางเอก เจ้าจะพูดเป็นภาษากลาง และเหล่าตัวตลก เสนาอำมาตย์จะพูดเป็นภาษาอีสาน เรื่องที่นำมาแสดงก็จะมาจากนิทานตำนานท้องถิ่น ทั้ง สินไซ จำปาสี่ต้น ท้าวก่ำกาดำ ไปถึงวรรณกรรมเอกอย่างรามเกียรติ์ เป็นต้น

 

มองศิลปะเด็ก ผ่านวัฒนธรรมเงา บ้านดงบัง

 

            ส่วนหนังปะโมทัยที่จะนำมาพูดให้ฟังครั้งนี้ เป็นหนังปะโมทัยที่มีความพิเศษของบ้านดงบัง อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม หนังปะโมทัยของคณะนี้ชื่อว่าคณะ “เพชรอีสาน” เป็นคณะหนังปะโมทัยที่แสดงโดยเยาวชนจากโรงเรียนดงบังพิสัยนวการนุสรณ์ กลุ่มเยาวชนคณะเพชรอีสานนั้น สืบสานตำนานหนังปะโมทัย โดยนำฮูปแต้มจากสิมวัดโพธาราม ซึ่งเป็นตำนานเรื่องสินไซ มาบอกเล่าผ่านหนังปะโมทัย การนำฮูปแต้มจากสิมมาประยุกต์เป็นหนังตะลุง นับว่าเป็นการสืบสานผ่านการบูรณาการการเรียนรู้ ให้เยาวชนเกิดความภาคภูมิใจในศิลปะและวรรณกรรมท้องถิ่นของตน อีกทั้งยังเป็นการนำศิลปะพื้นบ้านออกมาสู่สาธารณะให้เป็นที่รู้จัก

 

            คณะเพชรอีสาน” เกิดขึ้นมาจากแรงผลักดันของ คุณเจริญพงศ์ ชูเจริญ ร่วมมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส) รวมทั้งคณาจารย์และเด็กๆ จากโรงเรียนดงบังพิสัยนวการนุสรณ์ การทำงานของคณะเพชรอีสานมีความน่าสนใจ เนื่องจากเป็นการทำงานที่ให้โอกาส และเน้นการมีส่วนร่วมของเยาวชนและชุมชนในทุกกระบวนการ โดยให้พ่อครูแม่ครูหนังปะโมทัยในหมู่บ้าน มาสืบสานภูมิปัญญาให้เด็กๆ ผ่านการสอนร้องลำเต้ยและลำล่องประกอบการแสดง สอนเชิดและแกะตัวหนัง

 

มองศิลปะเด็ก ผ่านวัฒนธรรมเงา บ้านดงบัง

 

            โดยเฉพาะ วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร และครูโรงเรียนดงบังพิสัยนวการนุสรณ์ ที่ให้โอกาสในการทำงานทางด้านศิลปวัฒนธรรม ระหว่างหน่วยงานและบุคคลภายนอกกับเยาวชนในโรงเรียน เพราะว่าบ่อยครั้งที่การทำงานศิลปะของเยาวชนนั้น ผู้บริหารในโรงเรียนมักจะไม่เห็นคุณค่า เนื่องจากศิลปะถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ด้อยค่ากว่าการเล่าเรียนเขียนอ่านที่เป็นวิชาการ หรือบางครั้งก็จะพบว่าผู้บริหารให้โอกาสและความสนใจ แต่ไม่เห็นคุณค่าอย่างจริงจัง สำหรับโรงเรียนดงบังพิสัยนวการนุสรณ์นี้ ให้การสนับสนุนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ในการส่งเสริมให้เยาวชนมีทักษะทางศิลปะผ่านการเรียนรู้นอกห้องเรียน

 

มองศิลปะเด็ก ผ่านวัฒนธรรมเงา บ้านดงบัง

 

            ในความเป็นจริงแล้ว ศิลปะมีคุณค่าไม่ต่างจากวิชาการ เช่น ศิลปะสร้างจินตนาการ สร้างทักษะสัมพันธ์ เป็นศาสตร์ที่สอนให้เกิดความกล้าที่จะเรียนรู้ ผ่านการทดลองทำความรู้ทางศิลปะนั้น เป็นความรู้ที่เปิดกว้างไม่มีขอบเขตตายตัว สามารถนำไปบูรณาการและประยุกต์ใช้กับสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี

 

            กลุ่มเยาวชนของโรงเรียนดงบังพิสัยนวการนุสรณ์ เป็นเด็กที่มีจินตนาการสูง สามารถจดจำสิ่งต่างๆ ได้เร็ว มีความละเอียดอ่อนและประณีต มีระเบียบวินัย ทำงานเป็นทีมได้ สามารถแก้ไขปัญหาและเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ได้ดี รักและภาคภูมิใจต่อศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่นของตน ซึ่งคุณลักษณะอันพึงประสงค์นี้ พวกเขาได้มาจากครั้งทำกระบวนการค่ายศิลปะ และจากการทำกิจกรรมหนังปะโมทัยนั่นเอง คำตอบที่ได้รับจึงเป็นเสมือนเครื่องมือในการการันตีคุณค่าและคุณประโยชน์ของงานศิลปะกับเยาวชนได้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมอย่างดี โดยไม่ต้องบรรยายอะไรให้ยืดยาว

 

            การทำงานศิลปะของเยาวชนกลุ่มนี้ และการทำงานด้านการสืบสานศิลปวัฒนธรรมของเยาวชนคณะเพชรอีสาน จากโรงเรียนแห่งนี้ ได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยทางโรงเรียนได้พยายามที่จะให้โอกาสนักเรียนออกไปแสดงออกต่อสาธารณะ ส่งผลให้เป็นการทำงานศิลปะที่มีความยั่งยืน และขยายผลจนปัจจุบันหนังปะโมทัยคณะเพชรอีสาน เป็นที่รู้จักและกล่าวถึงของคนในสาธารณะ

 

            เมื่อเราจะสนับสนุนสิ่งใด เราต้องทำอย่างจริงใจและต่อเนื่อง เพื่อให้เพชรกลายเป็นเพชรที่มีคุณภาพจากเนื้อแท้ เหมือนที่โรงเรียนแห่งนี้ ให้การสนับสนุนเยาวชนของพวกเขา และที่สำคัญต้องเชื่อมั่นในศักยภาพของสิ่งที่ทำเชื่อมั่นในตัวเด็ก เพราะเด็กมีพลังและมีเหตุผลในการกระทำ ไม่ต่างกันกับผู้ใหญ่ เพียงแต่เขาเหล่านั้นมีวุฒิภาวะน้อยกว่าเรา ซึ่งนั่นเองก็คือสิ่งที่เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ ที่จะต้องเป็นผู้คอยชี้แนะ ส่งเสริมสนับสนุนด้วยความหวังดีต่อเด็กเป็นสำคัญ การให้โอกาสเด็กในเรื่องที่ถูกต้องและเหมาะสม คือสิ่งมีค่าที่จะช่วยให้เด็กสามารถมีพัฒนาการที่เหมาะสมสอดคล้องไปตามวัย และยังเป็นการช่วยเหลือสังคม โดยการผลิตเยาวชนคุณภาพ ที่จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันข้างหน้าด้วย สุดท้ายนี้อยากถามว่า คุณให้โอกาสเด็กและช่วยผลิตเยาวชนคุณภาพเพื่อสังคมที่น่าอยู่แล้วหรือยัง…

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

 

 

update : 23-12-53

อัพเดทเนื้อหาโดย : ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน

 

Shares:
QR Code :
QR Code