ลดคอเลสเตอรอล-ผิวชุ่มชื้น

เมื่อวันที่ 29 เมษายน ที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) รศ.ดร.วีระพงษ์ แพสุวรรณ รองปลัด วท. กล่าวในงานเสวนาคุยกัน…ฉันท์วิทย์ เรื่อง “มหัศจรรย์ผงไหม” ซึ่งจัดโดยสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน.ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการผลิตเส้นไหมปีละ 1,300 – 1,400 ตัน มีเศษเหลือใช้จากไหมปีละไม่น้อยกว่า 300 ตัน ที่ใช้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า หากมีการนำไปแปรรูปเป็นผงไหมจำหน่ายจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 720 – 1,800 ล้านบาทต่อปี และหากนำผงไหมไปทำผลิตภัณฑ์จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีก 5 – 10 เท่า ซึ่งขณะนี้มีหลายประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่นต้องการใช้ผงไหมในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และอาหารเสริม
ดร.สมพร จองคำ ผู้อำนวยการ สทน.กล่าวว่า จากการศึกษาของ สทน.ร่วมกับกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่าผงไหมเป็นโปรตีนที่ผลิตมาจากส่วนของใยไหม ซึ่งมีส่วนประกอบสำคัญ คือ กรดอะมิโนถึง 16 – 18 ชนิด ที่มีคุณสมบัติในการรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง และมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญเมื่อศึกษาในเชิงลึกยังมีคุณสมบัติช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอล ช่วยสลายแอลกอฮอล์ในร่างกาย ช่วยรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น ช่วยเรื่องความจำ และช่วยขยายหลอดเลือดและกระตุ้นการทำงานของหัวใจ
นอกจากนี้ สทน.ยังศึกษาวิจัยผงไหมพันธุ์ไทยชนิดผงซิริซีน พบว่ามีสารสำคัญบางชนิดที่มีคุณสมบัติเด่นมากกว่าพันธุ์ไหมในต่างประเทศ อาทิ มีสารช่วยป้องกันผิวแห้งและลดแอลกอฮอล์ในตับ ซึ่งมีมากกว่าพันธุ์ไหมต่างประเทศถึง 3 เท่า อีกทั้ง ยังมีสารช่วยความจำ ช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจมากกว่า 2 เท่า และมีสารลดการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสและสารต้านไวรัสมากกว่า 4 เท่า เมื่อเทียบกับพันธุ์ไหมต่างประเทศ
ดร.สมพรกล่าวอีกว่า ทีมวิจัยได้ผลิตโปรตีนไหมจากผงไหมไทยด้วยเทคนิคเชิงนิวเคลียร์ โดยสามารถผลิตผงไหมที่มีอนุภาคขนาด 25 – 50 ไมครอน ละลายน้ำได้ร้อยละ 99.8 มีลักษณะเบาฟู ดูดซับความชื้นจากอากาศได้ยาก ซึ่งผงไหมดังกล่าวเหมาะสำหรับนำมาพัฒนาเป็นเครื่องสำอาง รวมทั้งยังนำมาเป็นส่วนผสมของพืชผลทางการเกษตร โดยที่ผ่านมานักวิจัย สทน.ได้ทดลองฉีดสารละลายโปรตีนไหมกับข้าวหอมปทุมธานีเนื้อที่ 2 ไร่ เปรียบเทียบกับข้าวหอมปทุมธานีที่ไม่ได้ฉีดสารละลายดังกล่าว ที่ อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง พบว่าข้าวหอมปทุมธานีแปลงที่ฉีดสารละลายโปรตีนไหมให้สภาพต้นข้าวที่ดูแข็งแรง ใบเขียวตั้งตรงกว่าต้นข้าวที่ไม่ได้ฉีด ออกรวงและเก็บเกี่ยวได้เร็วกว่าประมาณ 7 วัน และให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 38.75 ต่อไร่ คิดเป็นจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นไร่ละ 2,900 บาท
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
update 30-04-52