ภาษารักของ ‘ลาหู่’

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ โดย ชัยณรงค์ กิตินารถอินทราณี


ภาพประกอบจากเว็บไซต์จุดประกาย


ภาษารักของ 'ลาหู่' thaihealth


ในทุกภาษาต่างมีความลับแอบกุมอยู่ โดยเฉพาะวิธีการสื่อสาร หรือปฏิสัมพันธ์กันระหว่างคู่รัก  หากไม่ทันจับสังเกตอาจแทบไม่รู้สึก โดยเฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์ที่มี การสืบทอดเรื่องราวของความลับเหล่านี้มายาวนาน จนกลายเป็นประเพณี หรือวิถีวัฒนธรรมที่แนบเป็นเนื้อเดียวกันกับการดำเนินชีวิต


"ลาหู่" เป็นอีกกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง ที่มีการสอดแทรกการสื่อสารลักษณะนี้ เอาไว้ผ่านขนบประเพณี อย่าง "งานปีใหม่ลาหู่" ที่บ้านห้วยน้ำขุ่น ต.ท่าก๊อ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ที่เพิ่งจัดขึ้นไปเมื่อไม่นานมานี้  ประเพณีปีใหม่ของลาหู่จัดเป็นส่วนหนึ่งในวิถีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม โดยขึ้นอยู่กับสมาชิกในชุมชนตกลงกันมีเรื่องเล่าที่คนลาหู่เล่าต่อกันมาว่า  ชาวลาหู่เชื่อว่า สมัยก่อนมีชาวลาหู่ครอบครัวหนึ่ง ชื่อ "ปีติป่า-เอซูมา"  ที่ทำงานหาเลี้ยงตนเองไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุดพัก จึงได้พากันไปหาพระเจ้าเพื่อขอให้พระเจ้าประทานวันหยุดให้ พระเจ้าจึงได้ประทานวันหยุดในวันเฉลิมฉลองปีใหม่ โดยให้พวกเขาสังเกตเหตุการณ์สำคัญ 3 ประการ คือเมื่อใบสนเริ่มงอก ลงมา และแทงยอดดอกมื่อต้นพลับ และต้นท้อออกดอกบานสะพรั่ง มีแมลงและผึ้งพากันมาตอมเป็นจำนวนมาก และเมื่อต้นพือพื่อ (ต้นไม้ที่มีดอกเป็นช่อสีขาวออกดอกในฤดูหนาว) ออกดอกบานสะพรั่ง มีหมู่ผึ้ง แมลง และนกสีสวยๆ พากันมาดูดกินน้ำหวาน นับจากนั้นเป็นต้นมาชาวลาหู่จึงมีการจัดงานเฉลิมฉลองปีใหม่ต่อเนื่องกันมาทุกปีจนถึงปัจจุบัน ความคึกคักในงานที่เห็นได้จาก รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะของชาวลาหู่ ที่มาร่วมงาน อาหารการกินท้องถิ่นของคนลาหู่อย่างว่ะหู่เต๊ะ หู่ฮวาเว หรือ  คั่วเครื่องในหมูฮว่อเจ๊าะโอ่ (กะหล่ำ ผัดหมู) และ เพ่อมิสื่อ จ้าเหว่ (ต้มฟักหมู) ถูกทยอยวางตามโต๊ะต่างๆ เพื่อรอ การปฏิสัมพันธ์เชิงวัฒนธรรมอย่าง  การเต้นก่าเคอะ ป้อยเตเว ต้อนรับ และแลกเปลี่ยนชาวลาหู่ที่มาร่วมงานในครั้งนี้


ภาษารักของ 'ลาหู่' thaihealth


วิชัย คงอมรพนา ประธานเครือข่ายวิชัย คงอมรพนา ประธานเครือข่ายลุ่มน้ำแม่ต๋ำ หนึ่งในหัวเรือใหญ่ของงานนี้เล่าถึงที่มาที่ไปของ การจัดงานสืบสานประเพณีนี้ขึ้นเพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรม และเป็นแบบอย่างให้กับคนรุ่นใหม่ที่วันนี้มีความใกล้ชิดกับเทคโนโลยี และความเจริญมากขึ้น  จนทำให้หลายครั้งงานเชิงวัฒนธรรม ถูกละเลยไป  "โดยเฉพาะพี่น้องลาหู่ที่มีสังคม โดดเดี่ยวมากขึ้น เกิดปัญหาคนรุ่นใหม่ไม่มีความภาคภูมิใจกับวิถี และอัตลักษณ์ของตนเอง กลไกทางสังคมตามจารีตประเพณีลาหู่ถูกลดบทบาทไปอย่าง น่าเสียดาย"


ทั้งๆ ที่ ลาหู่ นั้นมีถิ่นฐานที่อยู่อาศัยอยู่กระจัดกระจายบนพื้นที่สูงใน ภาคเหนือ และภาคกลางของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พะเยา ลำปาง ตาก เพชรบูรณ์ หรือ กำแพงเพชร โดยมีประชากรราว 1 แสนคน นอกจากนั้น  ลาหู่ ยังแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม อาทิ  ลาหู่นะ ลาหู่ญี ลาหู่บาหลา ลาหู่บาเกียว ลาหู่เชเล เป็นต้น


ในงานนี้ นอกจากจะมีการขอพรจากผู้อาวุโส และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชุมชนต่างๆ แล้ว งานลักษณะนี้ยังเป็นการถ่ายทอด "ภาษาลับ" ระหว่างกันของหนุ่มสาวชาวลาหู่อีกด้วย


การละเล่น ลูกข่าง ลูกสะบ้า และ ลูกช่วงที่ถูกยักย้ายถ่ายเทกลวิธีเล่นกัน ไปมาระหว่างกันนั้น หากมองเผินๆ  ก็คงไม่ต่างจากกิจกรรมแลกเปลี่ยน ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนและผู้คน หากแต่สิ่งที่เคล้าคลออยู่กับบรรยากาศการเฉลิมฉลอง และการพบปะกันนั้นก็คือ เสียงดนตรี ทักษะประจำชนชาติที่เคยได้รับการขนานนามว่า ลาหู่ ถือเป็นผู้ที่มีดนตรีในหัวใจไม่น้อยหน้าไปกว่าใครเลยทีเดียว   โดยเครื่องดนตรีของชาวลาหู่ก็มีหลากหลายให้เรียนรู้ ตั้งแต่เครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าอย่าง หน่อ หรือ แคน ซึ่งทำจากอี้โมะโก่ หรือ ลูกน้ำเต้าไม้เฮี้ย (โป่, ม๊ะฟวู่) และขี้ผึ้ง (แปบิฮ่อ) ไปจนถึง จะโก หรือกลอง "ดนตรีเป็นทักษะการสื่อสาร อย่างหนึ่งของคนลาหู่" กุลสุวารักษ์  ปู่ยี จากกลุ่มสตรีบ้านแกน้อย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ที่รับหน้าที่พิธีกรในงานมหกรรมครั้งนี้เผยข้อสังเกต


ที่น่าสนใจไปกว่านั้น สำหรับ เสียงดนตรีของคนลาหู่ก็คือ "การเกี้ยวกันในเสียงเพลง" กุลสุวารักษ์อธิบายว่า เสียงดนตรีกับคนหนุ่มสาวจะเหมือนเป็นสัญญาณการสื่อสารระหว่างกันที่มีมาแต่โบราณของชาวลาหู่ คล้ายๆ เป็น "สัญญาณลับ" ระหว่างกันโดยมี แล้ ก่า ชุ่ย หรือ ขลุ่ย เป็นสื่อกลางเครื่องเป่าที่รังสรรค์ขึ้นจากธรรมชาติ และความรักนี้มีกฎที่ต้องจำอยู่ 2-3 ข้อ


"ข้อแรก ห้ามเป่าในชุมชน ข้อสอง ใช้เป่าเวลาไปไร่นา หรือไปเป่าท้ายหมู่บ้านเพื่อพบปะกัน" เธอบอก  ส่วนจะพูดคุยกันเรื่องอะไรนั้น พิธีกรสาวชาวลาหู่ตอบด้วยรอยยิ้ม… มันเป็นความลับ


แน่นอนว่า เมื่อเสียงดนตรี กับลาหู่เป็นของคู่กัน พวกเขาจึงมักใช้ทักษะ เหล่านี้ประกอบในพิธีกรรมต่างๆ  อยู่เสมอไม่ว่าจะ ฉลองปีใหม่ กินข้าวใหม่ หรือวันสำคัญทางศาสนา


ภาษารักของ 'ลาหู่' thaihealth


เข็มเพชร เลนะพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรม (สำนัก 6) จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. เล่าถึงการเข้ามาเป็นส่วนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาวะผ่าน มิติวัฒนธรรมท้องถิ่นในพื้นที่เฉพาะอย่างนี้ว่า เป็นหนึ่งในกระบวนการ การสร้างเสริมสุขภาวะแบบองค์รวม ที่ไม่ได้หมายความถึงแต่เรื่องของ การออกกำลังกาย หรือการเอาใจใส่สุขภาพแต่เพียงอย่างเดียว เพราะมิติวัฒนธรรม หรือวิถีชุมชนนั้นถือเป็น การเชื่อมโยงแนวคิด และวิธีปฏิบัติต่อเรื่องดังกล่าวด้วย ซึ่งในพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์นั้น นี่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของการก้าวไปสู่การสร้างความเท่าเทียมด้านสุขภาวะให้เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างแท้จริงอีกด้วย


อย่างไรก็ตาม กุศโลบายของ การสร้างความสามัคคีผ่านขนบประเพณีที่สืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นนั้น นอกจากจะเป็นการรักษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ชาวลาหู่ให้ยังคงแน่นแฟ้นแล้ว ยังคงเป็น การรักษาแนวคิดที่แอบอิงกับธรรมชาติอันเป็นอัตลักษณ์สำคัญของผู้คนแถบนี้เอาไว้อย่างแยบคายอีกด้วย


ไม่ต่างจากใครบางคนที่เกี้ยวลำนำผ่าน จิ๊งหน่อง (อ้าทา) เครื่องดนตรีไม้ไผ่ขนาดเล็กให้ความรู้สึกลอย ตามลมไปหาใครอีกคน เสียงดนตรี ในมือจึงเป็นทั้งภาษาสื่อรัก และ ความลับ

Shares:
QR Code :
QR Code