ภัยเงียบแสนร้ายที่คาดไม่ถึง “มลพิษทางอากาศ”

ร่างกายแข็งแรงช่วยคุณได้

 

ภัยเงียบแสนร้ายที่คาดไม่ถึง “มลพิษทางอากาศ”

              สำหรับใครหลายๆ คน ที่วาดฝันเอาไว้ว่าจะเมื่อเรียนจบอยากเข้าเมืองหลวง ทั้งหางานทำ เรียนหนังสือ หรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ที่มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยสูง มี แสง สี ตื่นตาตื่นใจมากมายไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนแล้วละก็!! หยุดคิดสักนิด!! เพราะภายใต้ความสวยงามที่ทันสมัยนั้นกลับมีภัยเงียบแอบสุ่มจ้องจะทำร้ายสุขภาพของผู้ที่มาเยือนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหนึ่งในนั้น เห็นทีจะเป็น มลภาวะทางอากาศ ที่ไม่มีใครสามารถหลีกหนีมันได้หากยังต้องหายใจอยู่

 

              ซึ่งข้อมูลการตรวจวัดคุณภาพอากาศในเมืองใหญ่ทั่วประเทศของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พบว่าอากาศที่เราหายใจเข้าไปทุกวันนี้อยู่ในระดับที่อันตรายต่อสุขภาพมาก เพราะสภาพอากาศที่ความเข้มข้นของสภาพมลพิษเกินเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งค่าเฉลี่ยรายชั่วโมงต้องไม่เกิน 100 ส่วนในพันล้านส่วน เมื่อเกินก็จะทำให้มีผลต่อการทำลายเยื่อบุระบบทางเดินหายใจ ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง และทำให้เกิดโรคเรื้อรังของระบบทางเดินหายใจ ยิ่งประกอบกับการได้รับฝุ่นละอองขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยต่ำกว่า 2.5 ไมครอน

 

              ส่วนใหญ่จะเป็นชุมชนเมือง ย่านธุรกิจ ที่เหล่านี้จึงเป็นแหล่งที่มีการจราจรที่คับคั่ง ทำให้เกิดปริมาณฝุ่นละอองและควันดำในระดับที่สูงมากเกินขีดที่ร่างกายจะทนได้ แถมตอนนี้ในเมืองใหญ่ๆ ก็เองยังเกิดแก๊สเสียต่างๆที่เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆไม่ว่าจะเป็นแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ที่มีผลต่อระบบทางเดินหายใจของเรานั้นเอง

 

ภัยเงียบแสนร้ายที่คาดไม่ถึง “มลพิษทางอากาศ”

แล้วหากหายใจรับสารเหล่านี้เข้าไปมากๆจะมีผลกระทบอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายของเราบ้าง

 

             อันดับแรก จะป่วยเป็นโรคติดเชื้อในหลอดลมและปอดได้ง่ายก็เพราะว่าระบบทางเดินหายใจของคนเราจะมีเยื่อบุผนังหลอดลม ซึ่งเยื่อบุนี้คอยดักจับเชื้อโรคที่เราหายใจเข้าไป ฉะนั้น ถ้าเราสูดเอาฝุ่น ควันดำ และแก๊สเสียต่างๆ เข้าไปในปริมาณมากๆ สิ่งแปลกปลอมดังกล่าวจะระคายเคืองและทำลายเยื่อบุเหล่านี้ ทำให้หน้าที่ของมันเสียไป แล้วจะเกิดอะไรขึ้นละ…ก็จะทำให้ป่วยด้วยโรคหวัด โรคหลอดลมอักเสบ โรคปอดอักเสบ โรคภูมิแพ้ต่างๆ ได้ง่ายกว่าปกติ

 

              ต่อมาก็จะเป็นโรคหลอดลมตีบแคบและถุงลมปอดโป่งพอง เกิดจากการระคายเคืองหรือการติดเชื้อในเยื่อบุของหลอดลมนานๆ ก็จะทำให้หลอดลมเกิดการตีบแคบ การหายใจก็ลำบากเหมือนกับที่พบในคนที่เป็นโรคหืดเลยทีเดียว แถมถุงลมที่เคยยืดขยายและหดได้ ก็จะเสียสภาพไปกลายเป็นถุงลมโป่ง การฟอกเลือดจะเสียไปด้วย ทำให้เป็นคนเหนื่อยหอบง่าย ไม่สดชื่นแจ่มใสเหมือนแต่ก่อนยิ่งคนที่มีอาการของโรคหัวใจ หืด อยู่แล้วถ้ามาเจออากาศที่มีฝุ่นควันดำมากๆอาการจะยิ่งกำเริบและทำให้ตายเร็วและง่ายกว่าเดิมมาก เพราะอะไรรู้ไหม…ก็เพราะว่าระบบหายใจหรือการไหลเวียนของเลือดล้มเหลวนั้นเอง

 

              …ถ้าไม่ป้องกันตัวเองดีๆโรคมะเร็งจะถามหาคุณได้เนื่องจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ปล่อยควันเสีย ซึ่งมีสารที่เรียกชื่อว่า เบนโซไพรีน ออกมาด้วย สารตัวนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าทำให้สัตว์ทดลองเป็นมะเร็งปอดได้ และนักวิทยาศาสตร์เองก็สังเกตว่าคนในเมืองมีอัตราการเป็นมะเร็งในปอดสูงกว่าคนชนบท ยิ่งเมืองที่มีมลพิษมากยิ่งมีคนเป็นมะเร็งปอดมาก โดยที่คนเหล่านี้ไม่ได้สูบบุหรี่ อันเป็นสาเหตุก่อมะเร็งที่สำคัญ แต่มลพิษในอากาศก็ทำให้เป็นมะเร็งปอดได้

 

             แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าอะไรเป็นตัวบันทอนให้ชีวิตคนที่อาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่สั้นลง… ตามข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ตัวการที่ก่อให้เกิดมลพิษในอากาศที่สำคัญ คือ รถยนต์ โดยเฉพาะรถเมล์ทั้งใหญ่และเล็ก รถบรรทุก และตัวคนทั่วไปที่ขยันกันนำรถส่วนตัวออกมาใช่เพื่อความสะดวกสบายของตัวคุณเองแต่กลับเป็นการทำร้ายร่างกายของคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัว

 

               เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญกับมลพิษ สิ่งเดียวที่จะเป็นการป้องกันตัวเองได้ดีที่สุด การดูแลรักษาตัวของเราเอง ด้วยวิธีง่ายๆต่อไปนี้

 

               สำหรับคนทำงานออฟฟิต หรือมีบ้านอยู่ในแหล่งที่มีมลพิษมาก…ต้องปิดประตูหน้าต่างเพื่อมิดชิดไม่ให้มลพิษอากาศเข้ามาสะสมในอาคาร หากมีเครื่องฟอกอากาศ หรือเครื่องปรับอากาศที่สามารถกรองอากาศได้ ให้เปิดใช้งาน และสำหรับผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาโรคหัวใจ โรคปอด โรคหอบหืด รวมทั้งเด็กเล็กที่ภูมิต้านทานน้อยจึงเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุดควรป้องกันและดูแลตัวเองให้ดี และควรหลีกเลี่ยงการไปทำกิจกรรมนอกอาคารหากไม่จำเป็น

 

              แต่หากมีความจำเป็นต้องไปทำกิจกรรมนอกอาคาร ก็ควรสวมหน้ากากที่สามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ หรือสวมหน้ากากผ้าชุบน้ำให้ชุ่ม แล้วปิดจมูกเพื่อกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก สวมแว่นตาเพื่อปกป้องดวงตาจากลมและหมอกควัน ที่สำคัญ…หลีกเลี่ยงการออกกำลังนอกอาคารในช่วงที่มีหมอกควันมาก เพราะจะเป็นอันตรายต่อปอดในระยะยาวมากกว่าเป็นผลดีต่อร่างกาย  

 

              ต่อมาสำหรับคนที่มียานพาหนะควรหมั่นตรวจสภาพเครื่องยนต์ของรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ให้อยู่ในสภาพดี ไม่ปล่อยให้มีควันขาวหรือควันดำ และหากมีควันดำมากควรปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์เสียใหม่เพื่อป้องกันการปล่อยกาศเสียออกมาทำลายสุขภาพตนเองและคนรอบข้าง

 

ภัยเงียบแสนร้ายที่คาดไม่ถึง “มลพิษทางอากาศ”

              และที่สำคัญหากบ้านไหนมีพื้นที่ว่างปล่อยทิ้งเอาไว้โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ ทางที่ดีลองเพิ่มพื้นที่สีเขียวด้วยการช่วยกันปลูกต้นไม้ใหญ่และไม้พุ่ม รวมทั้งไม้ในร่มเพื่อให้พีชหรือต้นไม้ใบไม้เหล่านี้สามารถดักจับฝุ่นละอองที่ถูกปล่อยออกมาได้

 

              นอกเหนือจากมลพิษทางอากาศที่คนกรุงในคนในเมืองใหญ่ต่างๆ ต้องเผชิญแล้ว แสงแดด ที่ร้อนแสบผิวกายก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังเช่นกัน เนื่องจากปัญหาภาวะเรือนกระจกที่โลกเราเผชิญอยู่ ยังก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ โดยเฉพาะผู้ที่เคยผิวไหม้หรือชอบนอนอาบแดด และผู้ที่เป็นแผลเรื้อรัง

 

               ส่วนวิธีการป้องกันให้ห่างจากมะเร็งผิวหนังนั้นแพทย์ด้านผิวหนัง โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้บอกเอาไว้ว่า ให้หลีกเลี่ยงแสงแดดช่วง 10.00-15.00 น ซึ่งเป็นช่วงที่มีรังสี UV สูงสุด หากจำเป็นต้องออกแดดต้องสวมเสื้อผ้าสีอ่อน เนื้อแน่น หมวกปีกกว้าง 3 นิ้ว พร้อมกับกางร่มที่ป้องกันแสงแดดได้ ที่สำคัญควรทาครีมกันแสงแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป ขอแถมเคล็ด(ไม่)ลับ อีกสักนิดว่าการทาครีมควรทาตั้งแต่ในวัยเด็กเพราะรังสีUV จะเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายประมาณร้อยละ 80 ก่อนที่จะอายุ18 ปี

 

               ถึงแม้ว่ามหานครแห่งความทันสมัยและความเจริญแห่งนี้จะเต็มไปด้วยภัยเงียบที่จ้องคุกคามสุขภาพของผู้ที่เข้ามาเยื่อนทุกเวลา แต่ถ้าคนนั้นร่างกายแข็งแรงออกกำลังกายอยู่สม่ำเสมอ กินอาหารที่สดสะอาดครบ5หมู่ แค่นี้โรคภัยต่างๆก็จะมาสู่ตัวยากขึ้นที่ เพราะอย่าลืมว่า… อยากสุขภาพดีคุณต้องสร้างด้วยตัวคุณเองเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

เรื่องโดย: ภราดร เดชสาร Team content www.thaihealth.or.th

 

 

 

Update:15-01-53

อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร

 

Shares:
QR Code :
QR Code