พื้นที่แออัด เสี่ยงติดเชื้อที่สุด
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
แฟ้มภาพ
พื้นที่แออัด เสี่ยงติดเชื้อมากที่สุด
ผศ.นพ.กำธร มาลาธรรม นายกสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรามียาและบุคลากรทางการแพทย์เพียงพอ หากเราทำได้ดีที่สุดจำนวนผู้ป่วยจะไม่ถึง 2 แสนอย่างที่คาดการณ์ ซึ่งอยู่ที่ประชาชน ทุกคน ไม่ได้อยู่ที่รัฐบาล แพทย์ หรือ กระทรวงใดๆ เท่านั้น แต่ประชาชนทุกคน ต้องดูแลตัวเองด้วย จากข้อมูลผู้ป่วยสะสม 212 รายในขณะนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 18 มี.ค.) ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมอยู่ ในพื้นที่แออัด เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สุด ของการติดเชื้อ เพราะโรคแพร่โดย ฝอยละออง ถ้าอยู่ในระยะใกล้ๆ จะหายใจเข้าไปได้
"มาตรการสำคัญที่สุด ต้องงดการเข้าไปร่วมกิจกรรมในสถานที่แออัด อากาศระบายไม่ดี ดังนั้น จึงต้องมีมาตรการปิดโรงเรียน ปิดผับ แต่หากมีมาตรการแล้ว ยังไปชุมนุมกันก็อาจเกิดการระบาดได้อีก หากต้องขึ้น รถโดยสารต้องใส่หน้ากากอนามัย เลี่ยงความแออัดในลิฟต์ หน้ากาก แม้หน้ากากผ้า จะมีประสิทธิภาพน้อยกว่า แต่บวกกับเรื่องการรักษาระยะห่างให้ดีก็จะสามารถป้องกันได้ระดับหนึ่ง ส่วนในที่โล่งไม่จำเป็นต้องใส่" ผศ.นพ.กำธร กล่าว
เมื่อมีอาการไม่สบายค่อยไปตรวจ ถ้าทุกคนไปตรวจตอนที่ไม่มีอาการ ระบบบริการจะรองรับไม่ไหว และทำให้ทรัพยากรที่จำเป็นในการดูแลผู้ป่วยหนักจะถูกใช้ไปหมด ดังนั้น ขอความร่วมมือว่า ถ้าไม่มีอาการ ควรแยกตัวเองที่บ้าน หากทุกคนเพิ่มระยะห่างระหว่างบุคคล ลดกิจกรรมรวมกลุ่ม และป้องกันตัวเอง เราจะไม่ไปถึงขั้นปิดประเทศ ดังนั้นเรื่องป้องกันสำคัญมาก
"เชื้อไวรัสมีหลายชนิดที่มียารักษาเช่น ไข้หวัดใหญ่ ไวรัสตับอักเสบ ขณะที่โควิด -19 เป็นสายพันธุ์ใหม่ แต่เรามีประสบการณ์จากซาร์ส เมอร์ส ซึ่งอยู่ในกลุ่มโคโรนาไวรัส มีการศึกษาวิจัยยารักษาและขณะนี้ได้นำยาเหล่านั้นมาลองใช้ ซึ่งมีท่าทีว่าจะเริ่มได้ผล แต่ยาต้านไวรัสไม่ใช่สิ่งเดียวที่จะกำจัดได้ สิ่งสำคัญ คือ ร่างกายที่มีบทบาทในการกำจัดเชื้อ ดังนั้น เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างยาและร่างกายของเรา"
ทั้งนี้จากข้อมูลการศึกษาการควบคุมการระบาดของโรคต่างๆ ที่ผ่านมา ทั้ง อีโบล่า ไข้หวัดใหญ่ในอดีต พบว่า การปิดประเทศจะชะลอความระบาด เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นก็ระบาดต่อ ไม่อยากให้ถึงจุดที่ปิดประเทศ ดังนั้น ขอความร่วมมือทุกภาคส่วน ในการหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่เหล่านี้ หากไม่ทำอะไรเลยในตอนนี้อาจจะไปถึงจุดนั้นต้องช่วยกัน ก่อนที่จะมีวิกฤติ