พระอัจฉริยภาพด้านวรรณศิลป์

พระอัจฉริยภาพด้านวรรณศิลป์

 

              พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างสรรค์พระราชนิพนธ์ไว้หลายประเภท ได้แก่ บันทึกประจำวัน พระราชนิพนธ์แปล พระราชนิพนธ์ร้อยแก้ว วรรณกรรมพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระราชนิพนธ์แปลนั้น วารสารภาษาปริทัศน์ฉบับพิเศษ ๒๕๓๐ ของสถาบันภาษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เสนอบทความ เรื่อง พระอัจฉริยภาพด้านภาษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวบรวมรายชื่อพระราชนิพนธ์แปลไว้

 

พระอัจฉริยภาพด้านวรรณศิลป์

              หนังสือที่ทรงแปล และเรียบเรียง อาทิ ติโต ทรงแปลจากเรื่อง Tito โดย Phyllis Auty เศรษฐศาสตร์ตามนัยของพระพุทธศาสนา แปลจาก Small is Beautiful โดย E.F. Schumacher หน้า ๕๓ – ๖๓ นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ แปลจาก A Man Called Intrepid โดย William Stevenson และ พระมหาชนก ทรงค้นเรื่องพระมหาชนกจากพระไตรปิฎก (พระสุตตันตปิฎกขุททกนิกายชาดก เล่มที่ ๔ ภาคที่ ๒) แล้วทรงแปลเป็นภาษาอังกฤษ และภาษาไทยตั้งแต่ต้นเรื่อง โดยทรงดัดแปลงเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้เข้าใจง่าย ภายหลังโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์ฉบับการ์ตูนขึ้น เมื่อพุทธศักราช ๒๕๔๒ นอกจากนี้ยังมีบทความ ที่ทรงแปลและเรียบเรียงมีมากมาย เช่น ข่าวจากวิทยุเพื่อสันติภาพ และความกว้าหน้า จาก Radio Peace and Progress ในนิตยสาร Intelligence Digest ฉบับวันที่ ๑ เมษายน ค.ศ. ๑๙๗๕ (พ.ศ. ๒๕๑๘) ฝันร้ายไม่จำเป็นต้องเป็นจริง จาก No Need For Apocalyse ในนิตยสาร The Economist ฉบับวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๗๕ จีนแดง : ตั้วเฮียค้ายาเสพติดแห่งโลก จากเรื่อง Red China: Drug Pushers to The World และ วีรบุรุษตามสมัยนิยม จาก Fashion in Heroes โดย George F.Will ในนิตยสาร Newsweek ฉบับวันที่ ๖ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๗๕ เป็นต้น

 

              พระอัจฉริยภาพด้นการแปล ปรากฎชัดเจนทั้งในการทรงเลือกเรื่อง การทรงใช้สำนวนโวหารที่เข้าใจได้ง่าย เช่น พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง ฝันร้ายไม่จำเป็นจะต้องเป็นจริง ซึ่งทรงลงวันที่ไว้ท้่ายบทว่า ๒๒ มิถุนายน ๒๕๑๘ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ของอังกฤษที่ทรุดลงอย่างรวดเร็ว หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ บางตอนทรงเลือกสำนวนไทยๆ มาใช้เพื่อให้อ่านเข้าใจง่าย เป็นต้นว่า The Three Nettles mรงแปลว่า ยาสามขนาน และยังทรงขยายความไว้ด้วยว่า หวานเป็นลม ขมเป็นยา Wet hens ทรงแปลว่า ตีนราน้ำ

 

พระอัจฉริยภาพด้านวรรณศิลป์

              พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง การทหาร และประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับสงครามความลับ ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๓๙ – ๑๙๔๕ เป็นเรื่องจริงที่นำมาเปิดเผย เพื่อสรรเสริญเกียรติคุณของผู้ที่เสี่ยงชีวิตปฏิบัติงานลับ เพื่อประเทศชาติ และใช้เอกสารสำหรับผู้ปฏิบัติงานรุ่นหลังได้ใช้ศึกษา กับเป็นการเสนอข้อมูลเพื่อป้องกันฝ่ายตรงข้าม นำไปบิดเบือน อันจะกระทบกระเทือนสัมพันธไมรตรี ระหว่างสหรัฐอเมริกา แคนนาดากับอังกฤษ

 

              พระราชนิพนธ์แปลเรื่องนี้ มีความยาวถึง ๖๐๐ หน้า ทรงเริ่มแปลตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๐ จึงถึง ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ รวม ๓ ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้ทรงแปลคำต่อคำ แต่ทรงเก็บความไว้ครบถ้วน ทรงใช้สำนวนภาษาที่ให้อารมณ์ ความรู้สึกแบบไทยๆ ที่สอดคล้องกับสาระเรื่อง เช่น คำว่า My Lord! ทรงแปลว่า แม่เจ้าโว้ย! เป็นต้น และบางตอนที่เป็นบทร้อยกรอง ก็ทรงแปลเป็นบทร้อยกรอง นักรบใดใจมั่นพลันเริงร่า ถ้วนทหารปรารถนาเป็นเช่นเขา…

 

              พระราชนิพนธ์เรื่อง นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บริษัท อัมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด(มหาชน) จัดพิมพ์จำหน่าย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๖ จนถึง พ.ศ. ๒๕๓๗ ปรากฏว่าพิมพ์แล้วถึง ๑๒ ครั้ง ครั้งละ ๑๐,๐๐๐ เล่ม นับว่าเป็นสถิติที่สูงมาก ในวงการพิมพ์ของไทย

 

พระอัจฉริยภาพด้านวรรณศิลป์

              พระราชนิพนธ์แปลเรื่อง ติโต เป็นเรื่องชีวิตของ ติโต หรือ นายโยชิบ โบรช (Josif Broz) ผู้นำยูโกสลาเวีย ที่ได้อุทิศตนต่อสู้กอบกู้ยูโกสลาเวีย ให้พ้นวิกฤตการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ต่อมาเข้าได้รับแต่งตั้งด้วยความเห็นชอบ ของคนทุกชาติในยูโกสลาเวีย ให้เป็นประธานาธิบดี ชื่อเสียงของติโตขจรขจายไปทั่วโลก เขาเป็นแบบฉบับของผู้ที่กระทำความดีเพื่อชาติ พระราชนิพนธ์แปล เรื่อง ติโต จึงเป็นวรรณกรรมที่ทรงคุณค่า สำหรับประชาชน และเยาวชน จะได้ศึกษาชีวิตของติโตไว้เป็นแบบอย่าง ในการสร้างสรรค์คุณความดีต่อไป

 

              นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง ทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง และความกตัญญูรู้คุณของทองแดง สุนัขพันธุ์ไทย ที่ทรงเปรียบเทียบว่า ผิดกับคนอื่นที่เมื่อกลายเป็นคนสำคัญแล้ว มักจะลืมตัวและดูหมิ่นผู้มีพระคุณที่เป็นคนต่ำต้อยกว่า

 

              พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แม้จะทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ทรงงานด้านต่างๆ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ แต่พระองค์ยังทรงพระวิริยอุตสาหะสร้างสรรค์ งานวรรศศิลป์ไว้เป็นทรัพย์สินทางปัญญา สำหรับอนุชน และเป็นมรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ เฉกเช่นเดียวกับพระมหากษัตริย์ ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย

 

 

 

 

 

 

ที่มา: เวปไซต์ไทยแฮนด์ดิเวิร์คส์ดอทคอม

 

 

 

Update: 1-12-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร

Shares:
QR Code :
QR Code