พรปีใหม่ 2558 บ่มเพาะความสุข
“ปีใหม่”…เป็นปีแห่งความใหม่ของทุกคน เป็นปีที่ทุกคนต่างฝากความหวังไว้ว่าชีวิตน่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา คงจะเป็นปีแห่งความสุขและความสมหวัง จะได้มีความเจริญรุ่งเรืองในอาชีพและหน้าที่การงาน จะได้มีความสุขกายและสบายใจ ปัญหาและอุปสรรคต่างๆนานาจะไม่ได้เข้ามาเป็นขวากหนามในการดำเนินชีวิต
แต่ความหวังและความใฝ่ฝันนั้นจะเป็นจริงเพียงใด พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก เลขานุการมูลนิธิกลุ่มแสงเทียนวัดบางไส้ไก่ ธนบุรี กทม. บอกว่า ก็คงอยู่ที่การกระทำของเราทั้งสิ้น “ทำดีก็ย่อมได้ดี ทำชั่วก็ย่อมได้ชั่ว สร้างสรรค์ก็มีแต่จะเจริญรุ่งเรือง ทำลายก็มีแต่จะเกิดความหายนะให้กับตนเอง” ดังนั้นมนุษย์เราจึงเป็นผู้กำหนดทั้งสิ้น ปีใหม่จึงขอจงช่วยกันบ่มเพาะแต่ความสุขเพื่อให้ไออุ่นแห่งความสุขนี้ได้แผ่กระจายไปถึงผู้คนทุกภาคส่วนในสังคม ทุกภูมิภาคให้กลายเป็นไออุ่นแห่งความสุขความเจริญ กลายเป็นไออุ่นแห่งความหวังดีแห่งความปรารถนาดีที่จะมีแก่ทุกชีวิตในโลกนี้
ปีใหม่เป็นความหวังของทุกชีวิตที่ต้องการให้เกิดแต่สิ่งที่ดีและใหม่กับตนเอง แต่เราไม่ต้องไปรอความหวังที่จะดีและที่จะใหม่โดยไม่ลงมือกระทำ พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้” คนเรามีหนึ่งสมองสองมือสองเท้าใช้สำหรับคิดและกระทำ สมองขอจงมีไว้เพื่อคิดที่สร้างสรรค์ คิดเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น เมื่อมีความคิดแล้วก็ขอจงนำความคิดนั้นมาลงมือกระทำ อย่าได้ไปหวังว่าจะให้คนอื่นมาช่วยเสมอไป ขอจงมีความเพียรพยายามและความอดทนในการกระทำสิ่งนั้นๆ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ
อย่าได้หวังจากสิ่งที่มองไม่เห็นมาเป็นกลไกให้เกิดแรงผลักดันให้ไปสู่ความสำเร็จ ขอจงใช้พลังที่มีอยู่ในตัวเรามาเป็นแรงผลักดันให้ไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายให้ได้ จะได้ชื่อว่าสำเร็จเพราะความเพียรพยายามของเรา ปีใหม่ก็เป็นความสุขที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมถ้าเราลงมือกระทำเสียตั้งแต่วันนี้
เพื่อให้มองเห็นเป็นรูปธรรม จึงขอนำเอาธรรมะสี่ประการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาขยายความเพื่อให้เกิดความถ่องแท้และนำไปสู่การปฏิบัติที่ง่ายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เป็นธรรมะในเบื้องต้นที่ไม่อยู่ไกลตัว ไม่ว่าเราจะตกอยู่ในสถานะใดทางสังคม จะมีวิถีชีวิตอยู่เช่นใด จะมีโอกาสทางสังคมหรือด้อยโอกาสทางสังคม จะมีอาชีพหรือหน้าที่การงานเช่นใด จะยากดีมีจนเช่นใด จะอยู่แห่งหนตำบลใดก็สามารถนำไปปฏิบัติได้
ประการที่หนึ่ง : คนเราจะเริ่มทำสิ่งใดลงไปในทางที่ดีและสร้างสรรค์นั้น ขอจงมีความพึงพอใจในสิ่งที่จะทำ มองเห็นคุณค่าของผลที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำ เมื่อมีความรักและความศรัทธาเป็นพื้นฐานแล้ว เราทำสิ่งนั้นลงไปก็จะไม่เกิดความอึดอัดใจ มีแต่รักที่จะทำ มีแต่ความชอบใจเป็นที่ตั้ง ทางพระเรียกว่า “ฉันทะ” คือความพอใจ
ประการที่สอง : คนเราเมื่อเกิดความพึงพอใจแล้วก็จะมีความเพียรพยายาม มีความมุ่งมั่นในการที่จะทำสิ่งนั้นให้มุ่งไปสู่ความสำเร็จให้ได้ ทำวันนี้ไม่สำเร็จก็ยังมีความเพียรพยายามทำใหม่ในวันต่อไป ไม่ปล่อยทิ้งให้กลายเป็นของเสียไป บางคนเมื่อทำสิ่งใดไม่สำเร็จเพียงเบื้องต้นก็หันไปทำสิ่งใหม่หรือเรื่องใหม่ขึ้นมา
“แทนที่จะมีความเพียรพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับกลายเป็นคนมีความเพียรพยายามเพียงฉาบฉวย การกระทำเช่นนี้ย่อมไม่ถือว่ามีความเพียรพยายามอย่างสุดความรู้ความสามารถแล้ว” ตัวอย่างพระราชนิพนธ์เรื่องพระมหาชนกที่สอนผู้คนในสังคมได้อย่างดีถึงความเพียรพยายามในการต่อสู้กับอุปสรรคของชีวิต เมื่อมีความเพียรพยายามอย่างสม่ำเสมอแล้วสุดท้ายก็จะประสบความสำเร็จ ทางพระเรียกว่า “วิริยะ” คือความเพียร
ประการที่สาม : คนเราเมื่อทำสิ่งใดลงไปแล้วต้องมีจิตใจที่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น เอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้ความเบื่อหน่ายเข้ามาครอบงำ ไม่ปล่อยให้ความเหน็ดเหนื่อยเข้ามาแทนที่ มีความมุ่งมั่นกับสิ่งที่กระทำลงไป มีความแน่วแน่กับสิ่งนั้นๆ มีความชัดเจนกับสิ่งนั้นๆ ในที่สุดผลแห่งความสำเร็จซึ่งเป็นบันไดขั้นที่สามก็จะต้องติดตามมา ทางพระเรียกว่า “จิตตะ” คือความเอาใจใส่
ประการที่สี่ : คนเราเมื่อมีความรัก ความศรัทธา ความเพียร ความเอาใจใส่ไปแล้ว จะต้องมีความละเอียดลออหมั่นไตร่ตรองผลงานนั้นๆ ให้รอบคอบ ตรวจสอบว่าผลงานที่ออกมานั้นมีข้อบกพร่องตรงไหนบ้าง ก่อนที่จะนำไปใช้ในงาน ทุกผลงานต้องมีการตรวจสอบให้ละเอียดก่อนที่จะนำไปใช้อุปโภคและบริโภคตามจุดประสงค์ของการผลิตสิ่งนั้น คนเราถ้าทำได้เช่นนี้ ทางพระเรียกว่า “วิมังสา” คือการพิจารณาไตร่ตรอง
คนที่มีธรรมะทั้งสี่ประการนี้จะคิด จะพูด จะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จเพราะมีธรรมะครองใจ มีความดีงามอยู่ในจิตใจ คนเราเมื่อภายในดีงามแล้ว คำพูดที่ออกมาก็จะดีงาม การกระทำออกมาก็จะพลอยดีงามไปด้วย ดังนั้นคนที่มีฉันทะ มีวิริยะ มีจิตตะ มีวิมังสา จึงเรียกว่าเป็นคนที่มี “อิทธิบาทสี่” คือ…มีธรรมะที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จในทุกประการ สร้างชีวิตตนเองมาด้วยลำแข้งของตน พรปีใหม่ที่ดีงามและก่อให้เกิดความสุข ทำให้เราประสบความสำเร็จจึงควรเป็นธรรมะของพระพุทธองค์นี่เอง
“ขอให้ระลึกอยู่เสมอว่าทุกชีวิตที่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ต่างมีชีวิตที่ต้องการแต่ความสุขด้วยกันทั้งนั้น” เรามาใช้ชีวิตของเราสนับสนุนและส่งเสริมให้เพื่อนร่วมโลกของเราล้วนได้พบแต่ความสุขกันไม่ดีกว่าหรือ? เกิดมาจะได้มีชีวิตอย่างคุ้มค่าให้สมกับเกิดมาเป็น “มนุษย์” ดังนั้นตนเองนี่แหละที่จะเป็นผู้สร้างพรที่ดีงามให้เกิดขึ้นในปีใหม่ ให้เกิดสุขแก่มวลมนุษยชาติ ขออย่าได้มองข้ามคุณค่าของตนเองไปก็แล้วกัน
ปีใหม่มาช่วยกันบ่มเพาะความสุขให้เกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา กับชุมชนหรือหมู่บ้านของเรา กับสังคมของเราและกับประเทศชาติของเรา สุดท้ายลูกหลานของเราก็จะได้รับอานิสงส์จากการ “บ่มเพาะความสุข” พรปีใหม่จะเกิดขึ้นได้จากการกระทำของเราเป็นที่ตั้ง อยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต ขอให้นำเอาธรรมะของพระพุทธองค์ที่เขียนมานี้มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตและทำหน้าที่การงานของตนเองให้บริบูรณ์
“ธรรมะ” ไม่อยู่ไกลเกินเอื้อมแต่อยู่ที่ตัวเรานี่เอง ขอจงช่วยกันรักษาศีลและประพฤติธรรมกันเถิด ศีลห้าของผู้ครองเรือนนี้ก็ขอจงรักษาอย่างสม่ำเสมอแล้วคุณภาพชีวิตของเราก็จะดีงามและงอกงามขึ้นมาตามลำดับ ไม่จำเป็นต้องไปให้คนอื่นมาเป็นแรงผลักดันให้เราไปสู่ความสำเร็จ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนยังมีความจำเป็นและใช้ได้ตลอดเวลา เมื่อเรารักษาศีลและประพฤติธรรมแล้ว ธรรมะก็จะเกิดขึ้นในตัวเรา ลูกหลานของเราก็จะมีความสุข สมาชิกเพื่อนบ้านก็จะมีความสุข ในที่สุดสังคมของเราและประเทศชาติของเราก็จะมีความสุขไปด้วยเพียงเพราะการกระทำที่ดีของเรานี่เอง
“สุขใดก็ตามควรเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย ความสงบใดก็ควรเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย ความรักความหวงแหนใดก็ควรเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย เราไม่ต้องไปเสาะแสวงหาความสุขความรักความอบอุ่นโดยข้ามน้ำข้ามทะเลจากชาติไหนๆ”
ปลูกความสุข ความหวังดี ความเมตตาอารี ความรักความอบอุ่นในตัวเรา ในครอบครัวของเรา ในสังคมของเราและในประเทศชาติของเราให้กลายเป็น “ความสุขที่ยั่งยืน”.
ที่มา: เว็บไซต์ไทยรัฐ
ภาพประกอบจากอินเอร์เน็ต