พบหลอดประหยัดไฟกระตุ้นโรคแพ้แสง
ส่งผลสมาคมหมอผิวหนังค้านสั่งเลิกจำหน่ายหลอดไฟแบบเดิมโดยสิ้นเชิง
สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่ากลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสุขภาพในประเทศอังกฤษได้ออกมาคัดค้านความพยายามในการทำให้หลอดไฟชนิดประหยัดไฟหรือหลอดประหยัดเข้ามาแทนที่หลอดไฟแบบดั้งเดิมโดยสิ้นเชิงเนื่องจากว่ายังมีคนบางกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยเป็นโรคผิวไวต่อแสง (photosensitive) ที่ใช้หลอดประหยัดไฟไม่ได้
ผู้เชี่ยวชาญที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มทำงานด้านสุขภาพระบุว่าหลอดฟลูออเรสเซนท์นั้นสามารถทำให้การเป็นผื่นแพ้ที่ผิวหนังในคนที่ป่วยเป็นโรคกลุ่มผิวไวต่อแสง (photosensitive) เป็นหนักเข้าไปอีก
ในขณะที่รัฐบาลประเทศอังกฤษก็มีแผนในการห้ามจำหน่ายหลอดไฟส่องสว่างแบบดั้งเดิมในปี ค.ศ.2011 เพื่อเป็นมาตรการในการช่วยลดปัญหาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอีกทางหนึ่ง จึงทำให้กลุ่มนักเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องถึง 7 กลุ่มต้องออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน
ทั้งนี้หนึ่งในกลุ่มผู้ออกมาคัดค้านแผนการของรัฐบาลครั้งนี้คือ สมาคมแพทย์โรคผิวหนังอังกฤษซึ่งได้เรียกร้องให้ทางการยกเว้นการสั่งห้ามจำหน่ายหลอดไฟแบบดั้งเดิมโดยสิ้นเชิงและยังคงสงวนการจำหน่ายไว้ให้เป็นทางเลือกสำหรับกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบด้วย
อย่างไรก็ดีตัวแทนจากอุตสาหกรรมผลิตหลอดไฟกล่าวว่ากลุ่มผู้คัดค้านไม่ควรกังวลใจไปเพราะในอนาคตจะต้องมีทางเลือกไว้ให้อย่างแน่นอน สำหรับผู้ที่คาดว่าจะได้รับกระทบหากทางการอังกฤษสั่งห้ามมิให้จำหน่ายหลอดไฟส่องสว่างแบบดั้งเดิมจริงๆ นั้นคาดว่าอย่างน้อย ๆ จะมีประมาณ 100,000 คนที่ตามสถิติระบุว่าเป็นผู้มีปัญหาเกี่ยวกับกลุ่มอาการผิวไวต่อแสง
ด้านกลุ่มสเปคตรัม ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานเพื่อกลุ่มผู้ป่วยด้วยอาการซึ่งเป็นผลกระทบจากหลอดฟลูออเรสเซนท์กล่าวว่า ทางองค์กรได้รับการติดต่อมาจากผู้ป่วยหลายรายที่มีอาการตอบสนองต่อการแพ้แสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนท์เกี่ยวกับเรื่องแผนการจะยกเลิกการจำหน่ายหลอดไฟแบบดังเดิมนี้
และกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสุขภาพกลุ่มอื่น ๆ ที่ร่วมคัดค้านแผนการดังกล่าวของรัฐบาลอังกฤษกล่าวว่าหลอดประหยัดไฟซึ่งใช้พลังงานเพียง 1 ใน 4 ของหลอดไฟแบบดั้งเดิมนั้น นอกจากจะมีผลกระตุ้นอาการแพ้ของผิวหนังแล้วยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนอีกด้วย และยิ่งไปกว่านั้นพบว่ายังมีความเสี่ยงในการกระตุ้นอาการชักของคนที่เป็นโรคลมชักอีกต่างหาก
นักเคลื่อนไหวเหล่านี้กล่าวว่าพวกเขาต้องการเรียกร้องให้ให้ผู้ที่ปัญหาสุขภาพซึ่งจะได้รับผลกระทบจากการเลิกจำหน่ายหลอดไฟแบบดังเดิมหรือหลอดไส้โดยสิ้นเชิงตามกำหนดเดือนธันวาคมปีค.ศ. 2011 นี้ยังสามารถหาซื้อมาใช้ได้ตามความจำเป็นอยู่ต่อไป
ที่มา
ข้อมูลจาก : สำนักข่าวต่างประเทศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
ภาพประกอบ : www.thaihealth.or.th
update 09-01-51