ฝึกสติ พิชิตเบาหวาน
แฟ้มภาพ
เบาหวาน เป็นโรคไม่ติดต่อที่เป็นภัยต่อสุขภาพของคนไทยที่สำคัญผู้ป่วยเบาหวานมักได้รับความทุกข์จากภาวะโรคและภาวะแทรกซ้อน ปัจจุบันมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี
สมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ ได้ประมาณการว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยเบาหวานเกือบ 400 ล้านคน ในจำนวนนี้เกือบครึ่งไม่รู้ว่าตนเองเป็นโรคเบาหวานเนื่องจากไม่เคยได้รับการตรวจวินิจฉัยมาก่อน โดย ทุก7 วินาที จะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคเบาหวาน 1 คน และคาดการณ์ว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้าจะมีจำนวนผู้ป่วยสูงถึงเกือบ 600 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10 ล้านคนต่อปี สำหรับประเทศไทย จากการสำรวจพฤติกรรมความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อ และการบาดเจ็บพ.ศ.2558 (ระดับเขตสุขภาพ) โดย กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข พบ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ร้อยละ8.3 หรือ ประมาณ 5.5 ล้านคน และร้อยละ 30 ของผู้ป่วยเมื่อทราบว่าเป็นเบาหวานมักมีอาการซึมเศร้าตามมา ทำให้ประเทศไทยมีผู้เสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าถึง1,650,000 คน
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ผู้ป่วยเบาหวานนอกจากต้องดูแลสุขภาพทางกายแล้ว สุขภาพทางใจนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน ผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลอย่างเข้าใจ การที่ผู้ป่วยเมื่อทราบว่าเป็นเบาหวานมักเกิดความวิตกกังวล จากความ เจ็บป่วยและการเข้าสู่กระบวนการรักษา ที่สำคัญคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตใหม่ ผู้ป่วยจึงแสดงปฏิกิริยาทางใจที่แตกต่างกันในหลายลักษณะ บางรายต่อต้านทุกๆ เรื่องไม่ยอมรับ รู้สึกโกรธ ฉุนเฉียว หงุดหงิดง่ายที่ต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่คุ้นเคย หรือบางรายละเลยคิดว่าไม่เป็นไรไม่ให้ความสำคัญกับการรักษาและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จึงทำให้ภาวะเบาหวานลุกลาม
สิ่งที่ตามมาคือ ความทุกข์ทรมานจากภาวะโรค และภาวะแทรกซ้อน เช่นการที่ร่างกายเกิดบาดแผลแล้วหายช้า หรือไม่หายและลุกลาม มักพบเสมอว่าผู้ป่วยเบาหวานถูกตัดอวัยวะเพราะไม่สามารถรักษาแผลได้ จึงเป็นการตอกย้ำความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานมากขึ้น หรือบางรายถึงขั้นเบาหวานเข้าตาทำให้เกิดภาวะตาบอด กลายเป็นผู้พิการ สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดความทุกข์ทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยเบาหวาน โดยเฉพาะโรคทางใจ ผู้ป่วยเบาหวานมักเกิดอาการซึมเศร้าตามมา ทั้งนี้ผู้ที่รู้ตัวว่าป่วยเป็นเบาหวานมีความเสี่ยงเกิดภาวะซึมเศร้าได้มากถึงร้อยละ 30 ดังนั้นการคัดกรองภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยเบาหวาน จึงมีความจำเป็น ซึ่งในโรงพยาบาลชุมชนได้จัดให้มีบริการคัดกรองโรคซึมเศร้าในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานแล้วเช่นกัน
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวย้ำว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ โดยเริ่มต้นที่ใจ ให้กำลังใจตนเองเพราะหากท้อแท้ ไม่ยอมช่วยเหลือตนเอง หรือไม่ให้ความร่วมมือในการรักษา ก็ยากที่จะมีความสุข ขณะเดียวกัน ครอบครัว และคนใกล้ชิดจำเป็นต้องให้กำลังใจผู้ป่วยด้วย เพื่อให้ผู้ป่วยมีพลังใจที่จะสู้กับโรคต่อไป นอกจากนี้ การฝึกสติ เป็นประจำสม่ำเสมอ ก็นับเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญที่จะช่วยป้องกัน บรรเทา และ บำบัดอาการเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานนี้ได้ เพราะโรคเบาหวานเป็นที่ทราบกันดีว่าเกิดจากปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง ทั้ง ความเครียด ขาดการออกกำลังกาย น้ำหนักตัวเกิน ตลอดจนการรับประทานอาหารที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคเป็นต้น แต่หากเรามีสติ ย่อมช่วยให้เรามีความยั้งคิดมีอารมณ์ผ่อนคลาย ลดซึมเศร้า ตระหนักรู้ที่จะดูแลตัวเอง รู้จักเลือกที่จะรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้ ทั้งนี้ สามารถขอรับบริการปรึกษาได้ที่สายด่วนสุขภาพจิต 1323 โทรฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย