ผมตั้งใจว่าผมจะหยุดเพื่อลูก… ผมก็หยุดไปเลยวันนี้
“…ปัจจัยหลักคือลูก อยากเป็นต้นแบบให้เขา ไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ…”
นายแพทย์วันชัย เหล่าเสถียรกิจ เล่าประสบการณ์ว่า ผมสูบบุหรี่มวลแรกประมาณปี 2523 หลังจากที่เข้าเรียนแพทย์แล้ว เป็นวัยรุ่นอยากลองสูบ อยากรู้ว่าสูบแล้วเป็นอย่างไร เพื่อนๆ นักศึกษาแพทย์ก็สูบ คิดว่าโก้ดี ตอนแรกเริ่มจากลองสูบบุหรี่ต่างประเทศก่อน ครั้งละมวน สองมวน รวมทั้งเริ่มดื่มเหล้าด้วย และพอข้ามฟากไปที่ศิริราช จะเรียนหนัก เกรดไม่ดี เครียด ก็สูบบุหรี่และนั่งดื่มกับเพื่อนๆ เหมือนเป็นการ relax (ผ่อนคลาย) และสูบมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันละซอง สูบทั้งบุหรี่ไทยและบุหรี่นอก พอเรียนจบแพทย์ปี 2529 มาเริ่มทำงานครั้งแรกที่โรงพยาบาลโนนคูณ จังหวัดศรีษะเกษ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาด 10 เตียง สมัยนั้นมีแพทย์อยู่คนเดียว ทำงานหนักและก็ยังสูบ ถามว่าตอนนั้นผมอยากเลิกไหม ผมยังรู้สึกเฉยๆ เพราะคิดว่าเป็นสิทธิส่วนตัว แต่ช่วงหลังๆ คนข้างๆ เขาเหม็น ก็คิดว่าคงไม่ใช่แค่สิทธิส่วนตัวแล้ว…เราคงต้องคิดถึงคนรอบข้างด้วย
ปี 2532 ผมย้ายมาทำงานที่โรงพยาบาลกันทรารมย์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาด 60 เตียง ผมก็ยังคงสูบบุหรี่อยู่ จนกระทั่งแต่งงานมีครอบครัว และมีบุตรชาย 3 คน และลูกเริ่มโต เริ่มพูด เริ่มซน ลูกจะเห็นผมสูบ…ผมก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ค่อยดี ซึ่งเวลาสูบและดื่มจะเป็นเวลาหลังเลิกงาน และหยุดดื่มช่วงเข้าพรรษา แต่ยังสูบบุหรี่ และผมคิดว่าผมจำกัดตัวเองได้ถ้าจะสูบหรือดื่ม จนกระทั่งปลายปี 2542 ผมจะสูบโดยไม่ให้ลูกเห็น และจะซ่อนบุหรี่ซ่อนไฟแช๊คไว้ แต่ลูกเขาเคยเห็น จึงแอบไปทดลองสูบกันทั้ง 3 คน ผมก็เลยคิดได้ว่า ถ้าเรายังสูบต่อไปลูกคงจะสูบ การสูบเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีของลูก จึงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เลิกสูบ ผลจากที่ผมดื่มจัดและก็สูบจัด แม้จะเป็นนักกีฬาก็มีปัญหาสุขภาพ ไอบ่อยๆ เหนื่อยง่าย หอบ มีเสมหะเยอะ ช่วงหลังๆ สูบเมื่อไหร่ก็จะไอ สุขภาพไม่ค่อยดี ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง แต่ปัจจัยหลักคือลูก…อยากเป็นต้นแบบให้เขา ไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ก็เลยตัดสินใจเลิกบุหรี่เมื่อเดือน กรกฎาคม ปี 2543 ตั้งใจเลิกก็เลิกเลยครับ ก่อนหน้านั้นเคยหยุดสูบเป็นระยะมาก่อน ผมไม่ได้พึ่งยาอะไร ไม่สูบก็คือไม่สูบเลย ไหนๆ ก็เลิกบุหรี่แล้ว ก็เลิกดื่มเหล้าด้วยเลย เลิกมาถึงปัจจุบันก็ 10 ปีแล้ว ภรรยาก็เคยบอกให้หยุดสูบบุหรี่ แต่ผมไม่หยุด คิดว่าเป็นเรื่องความสุขส่วนตัวของเรา แต่ก็เข้าใจว่าเขาเป็นห่วงเราเรื่องสุขภาพ…ที่ผมเลิกบุหรี่ได้ เพราะผมตั้งใจว่าผมจะหยุดเพื่อลูก… ผมก็หยุดไปเลยวันนี้
เมื่อถามว่าดีขึ้นไหม…ก็ดีขึ้นนะในเรื่องสุขภาพ และสิ่งที่ได้มา คือ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 10 กิโลกรัม ซึ่งผมต้องรักษาสุขภาพและเป็นแบบอย่างทางสุขภาพแก่ประชาชนด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ ตอนที่ผมยังสูบบุหรี่ ผมจะได้ยินเมื่อใครๆ เตือนญาติพี่น้องไม่ให้สูบบุหรี่ แต่ผู้ที่สูบจะบอกว่า “ไม่เห็นเป็นไรเลย ขนาดหมอวันชัยก็ยังสูบ” ผมรู้ว่าเขาพูดเพราะคุ้นเคยในสิ่งที่ผมทำ
เดือนธันวาคม ปี 2546 ผมย้ายมาทำงานที่โรงพยาบาลกันทรลักษ์จนถึงปัจจุบัน ผมผูมิใจในสิ่งที่ทำได้ กล้าประกาศนโยบาลเรื่องโรงพยาบาลปลอดบุหรี่ ยินดีที่จะอธิบายให้ทีมงานฟัง และเมื่อเป็นวิทยากรในการบรรยายก็ยินดีที่จะพูด เพื่อเป็นการกระตุ้นให้กำลังใจแก่ผู้ที่ยังสูบบุหรี่อยู่และอยากเลิก ผมคิดว่าถ้าเราตัดสินใจและทำได้จริงจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับชีวิตของเรา ส่วนเรื่องการสังคมกับเพื่อนๆ เพื่อนก็เข้าใจได้
ผมไม่อยากให้มองว่าแพทย์ต้องเป็นโมเดลทุกอย่าง แพทย์ทุกคนมีวิถีชีวิตของตนเองที่อาจเคยลองหรือเคยสูบ ต้นแบบของคนที่มีสุขภาพดีไม่แตะต้องบุหรี่ จึงอาจไม่ใช่แพทย์หรือบุคลากรทางสุขภาพเท่านั้น แต่การไม่แตะต้องบุหรี่เป็นเรื่องของทุกๆ คน
ผมอยากบอกผู้ที่สูบบุหรี่ว่า…ถ้าเราทำสิ่งใดแล้ว สิ่งนั้นเป็นความรู้สุกดีกับคนที่เรารักก็ให้ทำสิ่งนั้น ให้อะไรก็ได้เป็นของขวัญ อย่างผมให้ของขวัญกับครอบครัวด้วยการเลิกสูบบุหรี่และเลิกดื่มเหล้า ซึ่งเป็นการให้ที่ยั่งยืนและถาวรสำหรับคนที่ผมรัก จึงจะเห็นว่าผมทำได้จริง กำลังใจของเราเป็นสิ่งสำคัญ คนรอบข้างก็เป็นกำลังใจที่ดี สำหรับคนที่กำลังใจไม่เข้มแข็งก็ต้องอาศัยคนอื่นมาเป็นแรงใจและแรงกระตุ้น จะเลิกได้ต้องพยายามครับ หาสิ่งยึดเหนี่ยวอะไรก็ได้ เช่น เพื่อวันแม่ วันพ่อ แล้วบอกตัวเราว่า “ที่เราทำเพื่อคนอื่นที่เราห่วงใย” อย่าคิดว่าทำเพื่อตนเองอย่างเดียว เพราะตนเองนั้นไม่เป็นไร หรือตัวเราเองอย่างไรก็ได้ ซึ่งทำให้เลิกไม่ได้ครับ แต่เมื่อทำได้สำเร็จจริงๆ ก็เกิดผลดีกับตัวเองครับ บุหรี่หากลดได้ก็ควรลด แต่เลิกได้ก็ยิ่งดี ในมุมมองและประสบการณ์ของผม บุหรี่ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกายเลย
สำหรับวัยรุ่น ผมเคยผ่านชีวิตในวัยรุ่นมาและบอกได้เลยว่า ที่วัยรุ่นสูบบุหรี่ไม่ใช่เพราะไม่รู้โทษ แต่เป็นเรื่องของค่านิยมของวัยรุ่น เพราะฉะนั้น ผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์มาก่อนจึงควรทำอย่างไรก็ได้ที่จะเข้าใจเรื่องของค่านิยม หรือเทรนด์ของวัยรุ่นที่เขาเป็น เช่นกันกับเรื่องการแต่งกายที่ต้องเจาะหู ใส่เสื้อคับ กางเกงสั้นเต่อ หรือขาเดป นั่นก็คือค่านิยมหรือโลกของวัยรุ่นที่ผู้ใหญ่ต้องทำความเข้าใจและช่วยให้เขาผ่านช่วงนั้นไปได้ด้วยดี แล้วเขาจะเรียนรู้ในสิ่งที่ควรหรือไม่ควรทำ เพราะขณะเขาอยู่ในสังคมในช่วงเวลานั้นเขายังมองอะไรไม่ออก และผมคิดว่าน่าจะต้องมีสื่อในเชิงสร้างสรรค์ที่จะดึงพลังของวัยรุ่น ควรให้วัยรุ่นสื่อสารกันเอง ไม่ควรเอาผู้ใหญ่เข้าไปสอน และต้องให้วัยรุ่นรู้ว่าประโยชน์สุขภาพดีกับโทษบุหรี่คืออะไร…จึงจะรักษาตัวรอดครับ
ที่มา : มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่