ปฏิรูปอาหารปลอดภัย

เพื่อคนไทย

 

ปฏิรูปอาหารปลอดภัย

 

           ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าอาหารลำดับต้น ๆ ในปี 2552 ประเทศไทยส่งออกอาหารสูงถึง 760,000 ล้านบาท นำเข้า 200,000 ล้านบาท แต่ดูเหมือนว่าการควบคุมคุณภาพอาหารให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคกลับมีมาตรการที่เข้มข้นกว่า คนในประเทศบริโภคอาหารที่ตกคุณภาพ

 

          สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ แผนงานสร้างเสริมการเรียนรู้กับสถาบันอุดมศึกษาไทยเพื่อการพัฒนานโยบายสาธารณะที่ดี (นสธ.) สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค จัดเวทีนโยบายสาธารณะ ปฏิรูปประเทศไทย ปฏิรูประบบอาหารปลอดภัย

 

          ศ.เกียรติคุณ นพ.ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ ประธานกรรมการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยมีระบบและกลไกดูแลเฝ้าระวังอาหารปลอดภัย ตั้งแต่ไร่นาจนถึงโต๊ะอาหาร (From farm to table) แต่จากข้อมูลกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างอาหารในท้องตลาดพบ 1 ใน 3 ของตัวอย่างอาหารถูกปนเปื้อนทั้งเชื้อโรค สารเคมี และโลหะหนัก ที่เกินค่ามาตรฐานกำหนด ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ การแก้ปัญหาควรเน้นการบังคับใช้กฎหมายให้เต็มประสิทธิภาพ

 

          รศ.ดร.นวลศรี รักอริยะธรรม ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ประเทศไทยนำเข้าผลไม้ ข้าวและธัญพืช ผัก ผลิตภัณฑ์นม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ โกโก้ จากผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพอาหารนำเข้าที่ด่านอาหารและยาในภาคเหนือ ปีล่าสุด พบอาหารที่มีสารปนเปื้อนคือ 1.ผัก ผลไม้ มียาฆ่าแมลงเกินมาตรฐาน 10.81% พบมากในผักกาดฮ่องเต้ สลัดแก้ว เซอร์รารี่ กวางตุ้ง ถั่วลันเตาองุ่น ทับทิม สาลี่ ลูกพลับ 2.อาหารแห้ง พบสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์เกินมาตรฐาน 83.9% โลหะหนักเกินมาตรฐาน เช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู 37.5% พบมากในสาหร่าย เยื่อไผ่ เห็ดหอมแห้ง 3.อาหารทะเล พบสารหนูเกินมาตรฐาน 4.1% สารฟอร์มาลินเกินมาตรฐาน 33.3% และพบโลหะหนักปนเปื้อน ซึ่งเกิดจากธรรมชาติมากขึ้น 4.ขนมพร้อมบริโภค พบสีสังเคราะห์เกินมาตรฐาน 20% พบมากในลูกอม เยลลี่ อาหารกระป๋อง และ 5.ผลิตภัณฑ์นม พบว่า นมโรงเรียนมีโปรตีนต่ำกว่ามาตรฐาน การเปิดการค้าเสรีมากขึ้น ปริมาณการนำเข้าอาหารก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้คนไทยต้องอยู่ในภาวะเสี่ยงด้านสุขภาพเพิ่มมากขึ้น

 

          รศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ หัวหน้าฝ่ายพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ใช้ค่ามาตรฐานในอาหารอ้างอิงจากองค์การกำหนดมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ (CODEX) ทำให้สารหลายอย่างไม่ถูกกำหนดให้ตรวจหาค่าความปลอดภัย เช่น สารซัคคารีน เป็นสารให้ความหวานในอาหารแห้ง เช่น บ๊วยหวาน ฝรั่งแช่อิ่ม ตรวจพบที่ด่านแม่สายสูง 80% หากได้รับสารชนิดนี้มาก เสี่ยงเป็นมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ ระคายเคืองในช่องปาก และกระเพาะอาหารได้ อาหารบางอย่างประชาชนไม่ทราบว่าทำให้เกิดอันตรายได้ เช่น เนื้อตุ๋น หมูตุ๋น หากตุ๋นอาหารเกิน 2 ชั่วโมง จะทำให้เกิดสาร Heterocyclicamine ทำให้เกิดอันตรายต่อตับ โดยพบมากในผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป แต่สามารถแก้ได้ด้วยการเติมผัก เช่น ผักชี ต้นหอม ถั่วงอก พบว่าถั่วงอกเป็นแอนตี้ออกซิแดนซ์ที่ดี นอกจากนี้ในจานอาหารไทย ส้มตำจัดว่าเป็นอาหารพิทักษ์สารพิษ แต่ไม่ควรใส่ถั่วลิสง ปูและปลาร้า เพราะถั่วลิสงพบอัลฟาทอกซินในถั่วที่ออกจากเปลือกทุกชนิด ส่วนปูและปลาร้าพบว่ามีจุลินทรีย์  ยกเว้นปลาร้าที่ต้มสุก

 

          รศ.ดร.แก้ว กล่าวอีกว่า การตรวจสอบดูแลอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาต้องแยกตัวเป็นองค์กรอิสระ เพราะมีงานตรวจสอบอาหารจำนวนมาก ยกตัวอย่างอาหารริมถนน อย.ไม่ได้ไปดูแลแต่เข้าไปควบคุมอาหารในโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่า และเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคสูงสุดกระทรวงศึกษาฯ ต้องปลูกฝังให้เด็กเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์และปลอดภัย พบว่าเด็กกินผักน้อยลง วิธีการกินที่ปลอดภัยต้องกินผักหลากสีตามทฤษฎีของฝรั่งกินผักสีรุ้ง

 

          ด้าน ผศ.ดร.พรรัตน์ สินชัยพานิช ฝ่ายการตรวจคุณภาพอาหาร สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัญหาอาหารปนเปื้อนสารพิษ มาจากระบบตรวจสอบอาหารของไทยมีข้อจำกัด โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีมีนโยบายที่ชัดเจนให้ความสำคัญกับหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของอาหารทั้งงบประมาณ อัตรากำลัง ศักยภาพบุคลากรพัฒนาชุดทดสอบห้องปฏิบัติการ ให้ความรู้ประชาชน ผู้ประกอบการให้เท่าทัน ขณะเดียวกันผู้บริโภคเองต้องให้ความสำคัญ เพื่อเป็นแรงหนุนเสริมกลไกการตรวจสอบเพื่ออาหารที่ปลอดภัยมากขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

 

 

Update : 11-10-53

อัพเดทเนื้อหาโดย : สุนันทา สุขสุมิตร

Shares:
QR Code :
QR Code