ปฏิรูปประเทศไทย ตอน…ระบบการศึกษาที่พาชาติออกจากวิกฤต

 

ปฏิรูปประเทศไทย ตอน…ระบบการศึกษาที่พาชาติออกจากวิกฤต10 ปีหลังปฏิรูปการศึกษาครั้งล่าสุด เหตุใดกลายเป็นว่าระบบการศึกษาไทยอาการหนักกว่าเมื่อ 30 ปีก่อนหลายเท่า!!

 

            สร้างสุขฉบับนี้ เราจะพาไปดูปัญหา วิเคราะห์สาเหตุ และคิดหาทางแก้…ที่กลุ่มนักวิชาการที่รวมตัวกันในรูป เครือข่ายสถาบันทางปัญญากำลังทำงานเพื่อหาทางออกให้การศึกษาไทย

 

            สรุปสถานการณ์ 10 ปีหลังปฏิรูปการศึกษา ดร.พิณสุดา สิริธรังศรี ดร.วรากรมีคณะเป็นแกน 4-5 ท่าน)

 

            การปฏิรูปการศึกษาครั้งล่าสุดของไทยเกิดขึ้นเมื่อปี 2542 ตามสถานภาพของ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ซึ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้ผู้เรียนเก่ง ดี มีความสุข เกิดสิ่งแปลกใหม่ค่อนข้างมากเพื่อเน้นความสุขของผู้เรียน ไม่ว่าจะเป็น ความพยายามปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อไปให้ถึงผู้เรียนโดยตรง การวิจัยและพัฒนาของหน่วยงานต่างๆ เช่น สสส. สกว. นวัตกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย ครูต้นแบบ และสถานศึกษาต้นแบบต่างๆ

 

            แต่ทว่า…ท่ามกลางความพยายามต่างๆ สถานการณ์ด้าน ผู้เรียนกลับตกต่ำลง ใน 10 ปีที่ผ่านมา

 

 

         




– ตัวเลขผู้เข้าเรียนปฐมวัยต่อจำนวนประชากรลดลง จากประมาณ 96 เหลือ 87 ประถมศึกษาลดลงจาก 102 เหลือ 96

 

– แม้ตัวเลขผู้เข้าเรียนชั้นมัธยมต้นและปลายเพิ่มขึ้น แต่สัดส่วนผู้เรียนอาชีวะศึกษาซึ่งเราหวังให้เพิ่ม เพื่อให้ประเทศมีบุคลากรวัยแรงงานที่มีคุณภาพ กลับมีตัวเลขเท่าเดิมคือ สายสามัญ 60 อาชีวะ 40

 

– มีผู้เรียนมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นจาก 22 เป็น 34 แต่ในปี 2551 มีผู้จบมาแล้วว่างงานกว่า 1.4 แสนคน

 

– ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำลงในทุกระดับ ผลสอบ o-net ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ 50 ทั้งในระดับ ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีค่าเฉลี่ยเพียง 36-49และมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีค่าเฉลี่ยเพียง 34-50

 

– ผลประเมินของ pisa พบว่าการอ่าน คณิต และวิทยาศาสตร์ของเด็กไทย ต่ำกว่ากลุ่มประเทศ oecd ที่อดีตเป็นคู่แข่งของเรา

 

– สถาบัน imd เปรียบเทียบความสามารถในการแข่งขัน ประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 43 จาก 55 ประเทศ ซึ่งสิบปีก่อนก็อยู่เท่านี้ 

 

 

นอกจากปัญหาคุณภาพผู้เรียน ในส่วนของครูผู้สอนก็ยังมีปัญหาทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็น ครูสอนไม่ตรงวิชาเอก ขาดเทคนิควิธีสอน ไม่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ครูมีภาระงานอื่น การพัฒนาไม่ทั่วถึง ขาดจิตวิญญาณครู คนเก่งไม่เรียนครู การผลิตครูเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ และล้นตลาดไม่ตรงความต้องการ หรือการไม่มีสถาบันผลิตครูเฉพาะ เพราะวิทยาลัยครูเปลี่ยนเป็นสถาบันราชภัฏซึ่งเปิดตามการเมืองในท้องถิ่น ทำให้จิตวิญญาณครูหดหาย เป็นต้น

 

            นอกจากนั้น ยังมีปัญหาอื่นๆ เช่น การมีส่วนร่วมจัดการศึกษาของภาคส่วนอื่นที่เรียกว่า education for all หรือ all for education ยังมีน้อย รัฐมีหลายกฎเกณฑ์ที่ไปสกัดกั้นองค์กรอื่นในการจัดการศึกษา ปัจจุบันองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดการศึกษาเพียง 6.3% เอกชนเพียง 17% ส่วนครอบครัว สถานประกอบการ และสถาบันศาสนา ยังไม่มีกฎกระทรวงที่เอื้อให้จัดการศึกษาได้มากนัก

           

            เหตุ 2 ข้อ ทำการศึกษาไทยวิกฤต 

 

            ไม่ใช่เพราะครูไทยแย่ลงอย่างมาก หรือเด็กไทยฉลาดน้อยลงอย่างกะทันหัน แต่เพราะเหตุผล 2 ประการ คือ โลกเปลี่ยน ทำให้คนที่ฉลาดที่สุดก็ยังตามไม่ทันความรู้ ขณะที่ ระบบไม่เปลี่ยน ตามไม่ทันกับความต้องการของโลกที่เปลี่ยนไป ทำให้ระบบการผลิตคนไม่อาจตอบสนองความต้องการของตลาด

 

            จากการวิเคราะห์ของ ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย รองผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย บอกว่าการปรับระบบการศึกษาไทยต้องเริ่มจากการ เล็งเป้าให้ชัด เพื่อให้น้ำหนักว่าเรื่องไหนสำคัญกว่า ควรทำก่อน และเชื่อมโยงกับอีกเรื่องอย่างไร โดย เป้าที่แท้จริงของระบบการศึกษาอยู่ที่ตัวเด็กผู้เรียน

 

            โดยทุกสิ่งที่ทำ ทุกโครงการที่ริเริ่มขึ้น ทุกนโยบายที่ผลักดัน ต้องพิจารณาว่า มีเด็กเป็นเป้าที่ได้รับความสำคัญเป็นอันดับแรกหรือเปล่า

 

            ยุทธศาสตร์สร้างการเปลี่ยนแปลง

 

            ทำให้เล็กลง” – การจะปฎิรูประบบการศึกษาไทย ที่ใหญ่โตเทอะทะ ไม่ค่อยฟังเสียงจากสังคม และผู้จ้างงานได้ ต้องทำให้ระบบมีขนาดเล็กลงพอที่จะจัดการได้ มีเวทีและโอกาสให้ภาคส่วนต่างๆ เข้ามาร่วมทำงาน

 

            ระบบการศึกษาที่มีขนาดใหญ่มาก มีโรงเรียนอยู่ในความดูแลกว่า 30,000 โรง ซึ่งมีความหลากหลายต่างกันมาก เมื่อเกิดการสั่งการโดยนโยบายเหมาโหล จึงมักเกิดเสียงบ่น

 




            เหมือนแม่เต่าทะเลไข่คราวละ 50 ฟอง ไม่สามารถดูแลลูกให้ทั่วถึง ธรรมชาติจึงจัดการให้แม่เต่าไข่เสร็จแล้วก็ลงทะเลไป ไม่สนใจว่าลูกจะฟักออกหมดหรือเปล่า แต่สัตว์โลกอีกหลายชนิดที่มีจำนวนลูกน้อย ก็มักมีสัญชาติญาณรักและหวงลูก คอยปกป้องอันตรายให้ลูก


   

         เอาเด็กเป็นตัวตั้ง” – โลกในยุคข้อมูลข่าวสารท่วมท้นมีความคาดหวังต่อการพัฒนาให้เด็กมีคุณลักษณะพึงประสงค์ 3 ด้าน คือ อุปนิสัยใจคอ ทักษะความสามารถ และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

 

            จุดสำคัญอยู่ที่ แรงบันดาลใจให้เด็กสนุกกับการเรียนรู้ และ โอกาสได้ทดลองทำจริงที่จะช่วยฝึกความคิดริเริ่มและแก้ปัญหา

 

            ซึ่งส่วนนี้ กลุ่ม ชมรม สมาคม เครือข่ายต่างๆ ในพื้นที่เช่น สมาคมนักเขียน เครือข่ายพ่อแม่ เครือข่ายเยาวชน สมาคมวิทยาศาสตร์ ชมรมนักดนตรี เครือข่ายศิลปินพื้นบ้าน สามารถเข้ามาช่วยสนับสนุนในรูปแบบกิจกรรมภาคปฏิบัติต่างๆ

 

            มีภาคีที่อยู่นอกสายตาของระบบการศึกษาอีกมากที่พร้อมจะเข้ามาช่วยดูแลลูกหลานของเขา ถ้าหากมีโอกาส และมีพื้นที่ให้ทำ!

 

            ครูเครื่องจักรที่ยังไม่ดับ

 

            แม้ว่าครูจะมีปัญหามากมาย แต่โครงการวิจัยหนึ่งของ สกว. ร่วมกับ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ค้นพบว่า ครูยังมีไฟอยู่แม้ค่อนข้างริบหรี่ด้วยภาระหน้าที่และความคาดหวังจากสังคมโถมทับ แต่เมื่อมีการเปิดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ดีๆ ที่ครูภูมิใจจากการอบรมสั่งสอนศิษย์ ไม่ว่าจะครูน้อยหรือครูใหญ่ก็สามารถเติมเชื้อไฟให้กลับลุกโพลงขึ้น และยังลามไปสู่ครูทั้งโรงเรียนได้ง่าย

 

            เรากำลังพูดถึง การจัดการความรู้เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครู เพื่อเติมพลังและเชื้อไฟให้ครู พร้อมทั้งสนับสนุนให้ครูที่มีปัญญาปฏิบัติได้มีความคล่องตัวในการขยายวงเรียนรู้ให้กว้างขวางขึ้น

 

            อีกทั้งต้องมีการวางระบบประเมินผลงานครูเสียใหม่ จากที่เคยอาศัยการเขียนผลงานเป็นหลักฐานแสดงว่ามีผลงาน ให้เป็นการวัดผลงานครู โดยดูจากความก้าวหน้าของตัวเด็กแทน

 

            สื่อ เพื่อการเรียนรู้

 

            เด็กไทยใช้เวลาเฉลี่ยวันละ 5 ชั่วโมงกับโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ คิดเป็นเวลาถึง 1 ใน 3 ของเวลาชีวิตในแต่ละวันไม่รวมเวลานอน จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า สื่อมีอิทธิพลต่อเด็กมาก

 

            และสื่อสำคัญสำหรับเด็กมี 2 ประเภทที่ต้องเร่งจัดการโดยเร็ว คือ หนังสือ และรายการทีวี

 

            ในโครงการวิจัยที่ทดลองนำสื่อที่สร้างขึ้นตามหลักการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการทำงานของสมองไปใช้กับเด็กประถมในโรงเรียนจำนวนหนึ่ง พบผลที่ตรงกันทุกแห่งว่าเด็กเปลี่ยนพฤติกรรมการอ่านอย่างชัดเจน เวลาพักก็จะเข้ามุมอ่านหนังสือในห้อง เวลากลับบ้านก็จะขอยืมหนังสือไปอ่าน หนังสือเหล่านี้มักเป็นหนังสือที่มีรูปสีสวยๆ มีอักษรตั้งแต่ไม่กี่บรรทัดสำหรับเด็กเล็กไปจนถึงเต็มหน้าสำหรับเด็กโต ภายในเวลาเพียง 6 เดือนก็เริ่มเห็นผลต่อความตั้งใจเรียนของเด็ก จนทำให้สรุปได้ว่าการจะทำให้เด็กไทยรักการอ่านทำได้ไม่ยาก แต่ต้องลงทุนพัฒนาหนังสือและซื้อหนังสือที่ดีและสวยเหล่านี้เข้าโรงเรียน

 

            ส่วนสื่อโทรทัศน์มีตัวอย่างการใช้สื่อเพื่อการเรียนรู้ที่สนุก เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์บีบีซีของประเทศอังกฤษ ซึ่งมีการผลิตรายการเพื่อการศึกษาอย่างจริงจัง บนความเชื่อว่าโทรทัศน์คือห้องเรียนอีกแบบหนึ่งของโลกยุคใหม่ ประเทศไทยก็เริ่มมีแนวโน้มที่ดีโดยกลุ่มองค์กรและภาควิชาการจำนวนหนึ่งได้ช่วยกันผลักดันสร้างสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย และส่งเสริมการผลิตรายการที่มีสาระและสนุกเหมาะกับเด็กมากขึ้น

 

            การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เหล่านี้นี่เอง คือเรื่องใหญ่ที่ต้องทำก่อนเพื่อให้หัวขบวนรถจักรของการปฏิรูปการศึกษาเริ่มขยับเขยื้อนนั่นเอง

 




ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารโรงเรียนสัตยาไส จ.ลพบุรี โรงเรียนที่สร้างมนุษย์ให้เป็นคนดี

ปฏิรูปประเทศไทย ตอน…ระบบการศึกษาที่พาชาติออกจากวิกฤต

            ปัญหาเรื่องการศึกษามีเยอะแยะ มัวมาทำจุดนั้นจุดนี้ไม่สำเร็จหรอก แต่การแก้ปัญหาต้องเริ่มในระดับโรงเรียน ด้วยการสร้างคนดีเหนือสิ่งใด เพราะ คนดีจะเก่งเอง เขาจะคิดได้ ปลอดอบายมุข ปลอดยาเสพติด จากนั้นหน้าที่ของ สกอ. คือ เลือกคนดีเข้าไปสู่ระบบมหาวิทยาลัย และให้มหาวิทยาลัยสร้างให้เขาเป็นคนเก่ง

 

            การสร้างคนดีให้เก่งนั่นง่าย ถ้าเก่งแล้วมาสร้างให้เป็นคนดีทีหลังมันยากมาก ที่ผ่านมาเราเอาแต่สร้างคนเก่งขึ้นมา ทำให้เกิดปัญหามากมายในสังคม เพราะคนเก่งไม่ยอมให้คนอื่นเก่งกว่า จึงชอบเอาชนะ เอาเปรียบผู้อื่น 

 

 

 

            ศาสตร์ที่ขาดปัญหากำกับ ก็คือ ศาสตราที่เอาไว้ทำร้ายกัน ดังนั้นการศึกษาต้องเอา ใจนำ ไม่ใช่ความรู้นำ  ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่มา : จดหมายข่าวชุมชนคนรักสุขภาพ ฉบับสร้างสุข เดือนกรกฎาคม 2552

 

 

update 21-07-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์

Shares:
QR Code :
QR Code