บ้านหมุน เวียนศีรษะ ส่อแววน้ำในหูไม่เท่ากัน ถึงหูหนวกได้
“บ้านหมุน เวียนศีรษะ มีเสียงแว่วในหู” อาการเช่นนี้อาจเกิดขึ้นบ่อยกับใครหลายคน แต่ด้วยอาการที่ดูจะปกติเหมือนไม่เป็นอะไรมาก สักพักก็หาย ทำให้คนส่วนใหญ่ “คิดเอาเอง” ว่าไม่ต้องพบแพทย์ให้เสียเวลา เดี๋ยวก็หาย แต่นั่น!!!อาจทำให้คุณสูญเสียการได้ยินแบบถาวรได้ เพราะอาการเหล่านี้บ่งบอกว่าคุณเป็น “โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน” หลายคนอาจสงสัยว่าคือโรคอะไร เกิดได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ไม่ได้ไปเล่นน้ำที่ไหน แล้วทำไมมันทำให้เวียนศีรษะ ซึ่งวันนี้เรามีคำตอบมาให้…
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน หรือที่หลายคนเรียกว่าโรคความดันน้ำในหูไม่เท่ากัน บ้างก็เรียกโรคบ้านหมุน หรือที่ฝรั่งเรียกกันว่าโรคมีเนีย ทั้งหมดคือโรคเดียวกัน เป็นโรคที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะวัยทำงาน ไปจนถึงผู้สูงอายุ แต่ดูเหมือนว่า ในผู้หญิงจะเป็นมากกว่าผู้ชาย ซึ่งโรคนี้เกิดจากความดันน้ำในหูชั้นในที่เรียกว่า Endolymph มีมากผิดปกติ เนื่องจากหูคนเราประกอบด้วยหูชั้นนอก, หูชั้นกลางและหูชั้นใน หูชั้นในแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนมีลักษณะคล้ายก้นหอยทำหน้าที่รับเสียง กับส่วนที่เป็นอวัยวะรูปเกือกม้า 3 อันมารวมกันทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัว
หูชั้นในนอกจากจะแบ่งตามหน้าที่แล้วยังแบ่งตามโครงสร้างเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นกระดูก กับส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายใน ส่วนที่เป็นกระดูกจะห่อหุ้มส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายใน ภายในส่วนเยื่อหุ้มภายในจะมีของเหลวอยู่ เมื่อเกิดพยาธิสภาพของโรคมีเนีย ของเหลวที่อยู่ภายในจะคั่งมาก ทำให้การไหลเวียนไม่สะดวก แรงดันที่เพิ่มขึ้นในหูชั้นในจะขัดขวางการทำงานของกระแสประสาทที่เกี่ยวกับการได้ยินและการทรงตัว ทำให้สูญเสียการได้ยินและสมดุล
ในส่วนของอาการนั้นสามารถสังเกตได้โดย ผู้ป่วยนั้นจะเริ่มมีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน เป็นอาการที่พบบ่อย มักพบร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออกเกิดขึ้นในทันทีทันใด ระยะเวลาอาจจะอยู่นานกว่า 20 นาทีถึง 2-3 ชั่วโมง ซึ่งอาการเวียนศีรษะทำให้เดินเซ เสียศูนย์ อาการดังกล่าวมักเป็นรุนแรงแต่ไม่ทำให้หมดสติหรือเป็นอัมพาต เมื่อหายเวียนศีรษะผู้ป่วยจะรู้สึกเหมือนเป็นปกติ
นอกจากนี้ จะรู้สึกว่าตนเองหูอื้อ อาจจะเป็นชั่วคราวหรือถาวรก็ได้ ถ้าเป็นระยะแรกๆ การสูญเสียการได้ยินจะเป็นแค่ชั่วคราว หลังจากหายเวียนศีรษะ ก็จะกลับมาเป็นปกติ แต่ถ้าผู้ป่วยที่มีอาการเวียนบ่อย ๆ หรือเป็นมานาน อาการหูอื้อมักจะถาวร รวมไปถึงการได้ยินเสียงดังในหูด้วย ผู้ป่วยจะรู้สึกมีเสียงดังรบกวนอยู่ในหู บ้างก็บอกว่ามีเสียงเหมือนจักจั่น จิ้งหรีดร้อง บ้างก็บอกว่าเหมือนเสียงคำรามในหูอยู่ตลอดเวลา และอาจมีอาการแน่น หนักในหูข้างเดียวกัน อาการมักจะเป็นๆ หายๆ บางรายเป็นบ่อยแทบทุกวัน บางรายมีอาการมากจนต้องเข้าโรงพยาบาล
เมื่อรู้สึกว่ามีอาการดังกล่าวข้างต้น ผู้ป่วยสามารถดูแลป้องกันตัวเองเบื้องต้นง่ายๆ ได้ด้วยการหยุด…..
ถึงแม้อาการจะหายได้เอง ก็อย่าชะล่าใจเป็นอันขาด…หากปล่อยทิ้งไว้ อาการจะทวีความรุนแรง จนไม่สามารถทำงานหรือกิจวัตรประจำวันได้ หรือรุนแรงถึงขั้นอาจสูญเสียการได้ยินแบบถาวรได้ และอาจลุกลามไปยังหูอีกข้างหนึ่งได้
เมื่อรู้แบบนี้แล้วล่ะก็…คงไม่มีใครอยากจะเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันอย่างแน่นอน แต่หาก…รู้สึกตัวว่าตนเองมีอาการของโรคดังกล่าว ผู้ป่วยสามารถดูแลป้องกันตัวเองเบื้องต้นง่ายๆ ได้ด้วยการ หากเกิดเวียนศีรษะขณะเดินหรือทำกิจกรรมใดๆ ควรหยุดและนั่งพัก เพราะหากฝืนอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับเครื่องจักรกล แต่ถ้าอาการรุนแรงมาก ควรนอนลงกับพื้นราบไม่เคลื่อนไหว มองวัตถุที่อยู่นิ่งๆ หรือหลับไปเลยได้ยิ่งดี
ที่สำคัญที่สุด…ผู้ป่วยนี้ ควรดูแลในเรื่องของอาหารและการบริโภคเป็นหลัก เนื่องจากเลือดและของเหลวตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเชื่อมต่อและมีการแลกเปลี่ยนกัน อาหารและปริมาณเกลือแร่จึงมีผลกับความดันของน้ำในช่องหู ซึ่งอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงได้แก่ อาหารที่ปรุงด้วยน้ำปลา ซอสถั่วเหลือง เกลือ เต้าเจี้ยว และน้ำหมักต่างๆ และที่ควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาด คือ อาหารที่ลงท้ายว่าเค็ม เช่น ปลาเค็ม ปูเค็ม ไข่เค็ม เนื้อเค็ม หมูเค็ม บ๊วยเค็ม
เล็กๆ น้อยๆ อย่างอาหารที่ต้องจิ้ม ก็ควรระมัดระวัง เช่นอาหารที่ต้องจิ้มเกลือ โรยเกลือ มันทอด ถั่วทอดโรยเกลือ อาหารหมัก ดอง เช่น ผักกาดดอง หัวไชเท้าดอง ขิงดอง รวมถึงอาหารกระป๋องมักมีสารกันบูด ซึ่งเป็นเกลือรูปแบบหนึ่ง หรือต้องแช่น้ำเกลือ เช่น ปลาซาดีนในน้ำเกลือ อาหารแห้ง หรืออาหารรมควัน ก็มักจะหมักเกลือก่อนนำไปตาก รมควัน หรือในตัวของอาหารเองก็มีปริมาณเกลืออยู่แล้ว เช่น อาหารทะเล กุ้งแห้ง ปลาหมึกแห้ง ก็ควรหลีกเลี่ยง
และตัวการสำคัญที่ควรหลีกเลี่ยงนั่นคือ…ผงชูรส ซึ่งก็เป็นเกลือชนิดหนึ่ง มีสูตรทางเคมีว่า โมโนโซเดียมกลูตาเมต ซึ่งนอกจากจะทำให้มีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะแล้ว ยังอาจทำให้มีความผิดปกติทางระบบประสาทด้วย
ทางที่ดีที่สุด…ผู้ป่วยประเภทนี้ ควรรับประทานอาหารที่ปรุงเอง รู้ส่วนผสม วัตถุดิบ จะปลอดภัย ที่สุด และควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดภาวะเครียด ควบคุมอารมณ์ให้เบิกบานแจ่มใส และลดงานบางอย่างที่มากจนเกินไป…
หากคุณดูแลตนเองได้ครบตามที่แนะนำแล้วล่ะก็…อาการของโรคก็จะทุเลาลง และสามารถหายได้เป็นปกติด้วยตัวคุณเอง…
เรื่องโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th
Update : 01-10-09
อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่