บันได 3 ขั้นสู่ “พื้นที่สร้างสรรค์”

โดย นพ.สุริยเดว ทรีปาตี หัวหน้าคลินิกเพื่อนวัยทีน สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี และผู้จัดการแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน สสส.

บันได 3 ขั้นสู่ “พื้นที่สร้างสรรค์”

นพ.สุริยเดว ทรีปาตี

การเปิดพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน นับเป็นประเด็นที่ท้าทายและอาจกล่าวได้ว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศไทย แต่ปัญหาก็คือผู้ที่ทำงานด้านเด็ก เยาชน ครอบครัวมีอยู่น้อยมาก ยกเว้นแต่ว่าในชุมชนนั้นๆ จะมีผู้ใหญ่ที่รักเด็ก และพร้อมทำงานอุทิศเวลาให้กับเด็กๆ ชุมชนนั้นก็ถือว่าโชคดีไป

            งานที่แผนงานสุขภาวะเด็กฯ ทำอยู่ จึงเกี่ยวข้องกับเรื่องร้องเรียน ข้อมูล child watch ตลอดจนข้อมูลต้นทุนชีวิต เพื่อช่วยส่งเสริมและสร้างระบบพี่เลี้ยงในชุมชน

            โชคร้ายที่ในภาพรวมของทั้ง 7,600 ตำบลทั่วประเทศ ไม่ได้เกิดขึ้นในลักษณะนั้น เมื่อคนทำงานขาดแคลน สิ่งที่ตอบโจทย์ก็คือ การมีคณะกรรมการเด็ก เยาวชน และครอบครัว รวมตัวกันทำงานภายใต้กิจกรรมสร้างสรรค์ เพื่อเปิดเวทีให้เด็กและเยาวชนได้แสดงออก

            นั่นคือบันไดขั้นแรกในสามขั้น ที่จะนำไปสู่การเปิดพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับเด็ก เยาวชน และครอบครัว

            บันไดขั้นที่สอง คือ การสร้างกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน และบันไดขั้นสุดท้าย คือ เมื่อเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ผู้ทำงานจะสามารถเติมเต็มศักยภาพเชิงทักษะ กล่าวคือ การเกิดระบบพี่เลี้ยงในชุมชน

            ทุกวันนี้ รัฐบาลพยายามเปิดพื้นที่กิจกรรมทั่วประเทศและถ้าหันกลับไปดูก็จะพบว่าโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศก็เป็นแหล่งผลิตกิจกรรมต่างๆ มากมาย ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เราไม่ได้ขาดแคลนกิจกรรม ซึ่งคือบันไดขั้นแรก

            ดังนั้น ประเทศไทยเวลานี้ ได้ผ่านบันไดขั้นแรกไปแล้ว แต่กลับไม่สามารถก้าวข้ามไปสู่บันไดที่สองได้ เพราะขาดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ดังนั้น พื้นที่สร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นจึงไม่มีความยั่งยืน

            การที่จะไปสู่บันไดขั้นที่ 2 ได้ต้องเกิดจากใจรักของผู้ใหญ่นั้นๆ ซึ่งไม่ได้ทำกิจกรรมเพื่อกิจกรรม ไม่ได้มองแค่เรื่องปริมาณของกิจกรรม

            ที่ผ่านมาแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)ได้นำร่องสร้างระบบรากฐานชุมชนที่เข้มแข็งใน 70 พื้นที่ใน 20 จังหวัด ซึ่งมี 20 พื้นที่ที่สามารถนำไปสู่บันไดขั้นที่ 2 ได้ แต่ก็มีไม่ถึง 40 พื้นที่ที่จะก้าวไปถึงขั้นที่ 3

            การลงไปชุมชนพบว่ามีคนล้วนแล้วแต่สนใจทำกิจกรรม สนใจแต่ผลลัพธ์เพียงเพื่อนับจำนวนกิจกรรม บางพื้นที่ก็พอใจกับการอยู่ในบันไดขั้นแรก ไม่ขยับไปสู่ขั้นที่สอง เช่น โรงเรียน ซึ่งเป็นสถานที่ของการทำกิจกรรม เมื่อรองรับกิจกรรมบ่อยเข้าก็เกิดอาการล้า จนนำไปสู่การนั่งรอแต่ให้มีคนทำกิจกรรมก็เป็นอันจบ

            มีข้อมูลที่น่าสนใจจากการเก็บข้อมูลการทำกิจกรรมของโรงเรียน พบว่า มากกว่า 80% ทำกิจกรรมเพื่อกิจกรรม นั่นก็คือการอยู่ในบันไดขั้นแรก อาจมีไม่ถึง 1% ที่จะก้าวไปสู่ระบบพี่เลี้ยงในชุมชน!

            การมีกิจกรรมเป็นสิ่งที่แผนงานฯ เห็นด้วยและให้การสนับสนุนแต่ยังไม่เพียงพอ  เพราะถ้าปัญหาเด็กและเยาวชนในชุมชนเปรียบเหมือนคนไข้ การทำกิจกรรมเพื่อกิจกรรมในปัจจุบันเป็นเพียงการให้ยาพาราเซตามอล แต่ไม่ได้ลงลึกไปว่า ปัญหา หรือ สาเหตุ ที่มาของไข้นั้น คืออะไร

            การจะเติมเต็มได้ ต้องเกิดระบบรากฐานชุมชนที่เข้มแข็งต้องมีองค์ประกอบ ทักษะเฝ้าระวังทั้งในเชิงลบและเชิงบวก เชิงลบในที่นี้คือ การเฝ้าระวังปัญหาของเด็กว่ามีอะไรบ้าง และในเชิงบวกก็คือเหตุแห่งปัญหานั้นคืออะไร

            ผู้ใหญ่ต้องฟังเสียงลูกหลานของตัวเองว่า รู้สึกอย่างไรกับตัวเองและสิ่งแวดล้อม รู้สึกอย่างไรกับชุมชนที่เป็นอยู่หลายๆ มิติ เครื่องมือของการฟังเสียง คือ ต้นทุนชีวิตเด็กไทย ซึ่งจะรู้ได้ในทันทีว่า พลังด้านใดอ่อนแอที่สุด

            ทักษะด้านต่อมา คือ ทักษะวิเคราะห์สังเคราะห์ให้เป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ โดยการใช้ฐานข้อมูลพัฒนาให้เหมาะกับวัย ต่อด้วยทักษะบริหารจัดการโครงงาน ด้วยการเขียนโครงงานขึ้นมาเพื่อสร้างกระบวนการจัดการกับกิจกรรมนั้นๆ ต่อมาคือทักษะการเป็นพี่เลี้ยงด้วยการเล่นบทเป็นที่ปรึกษาให้กับเด็กๆ และเยาวชน ที่ปรึกษาจะต้องเป็นนักสื่อสารที่ดี รับฟังปัญหา เพื่อที่จะแก้ปัญหาและเติมเต็มจุดอ่อนนั้นๆ

            ทักษะสุดท้าย คือ ทักษะร้องแร่แห่กระเชิง ในกรณีที่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ พี่เลี้ยงควรใช้วิธส่งต่อ บอกกล่าวปัญหาไปยังหน่วยงานด้านเด็กและเยาวชน ซึ่งแผนงานสุขภาวะเด็กฯ จะมีบทบาทในส่วนนี้

            งานที่แผนงานสุขภาวะเด็กฯ ทำอยู่ จึงเกี่ยวข้องกับเรื่องร้องเรียน ข้อมูล child watch ตลอดจนข้อมูลต้นทุนชีวิต เพื่อช่วยส่งเสริมและสร้างระบบพี่เลี้ยงในชุมชน

            แต่ถ้ามีเพียงกิจกรรม ไม่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อวิเคราะห์สังเคราะห์ปัญหา เด็กๆ ที่ทำกิจกรรมก็จะมองไม่เห็นประโยชน์ของกิจกรรมนั้นๆ และเขาก็จะไม่เกิดกระบวนการเรียนรู้ และกลับเข้าสู่ปัญหาเด็กและเยาวชนเช่นเดิม เพราะไม่รู้ว่ากิจกรรมที่เขาทำอยู่ให้อะไรกับเขา เขาจึงไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมกิจกรรมนั้นก็ได้

            ถึงเวลาแล้วที่ผู้ใหญ่ต้องฉีดยาแรง มากกว่าการให้ยาบรรเทาอาการ การก้าวข้ามไปสู่บันไดสองและสามไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่สร้างกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตามแนวคิดที่ว่า ต้นทุนชีวิต แนวคิดเชิงบวก สู่ชุมชนที่เข้มแข็ง กับงานด้านเด็กและเยาวชน

 

ที่มา:คอลัมน์ เด็กแนว วารสารสร้างสุข สสส.

update:21-09-53

อัพเดทเนื้อหาโดย:คีตฌาณ์ ลอยเลิศ

Shares:
QR Code :
QR Code