บริหารใจ ห่างไกล `อคติ4`

“รัก โลภ โกรธ หลง” อคติทั้ง 4 นี้เป็นความลำเอียงที่เกิดขึ้นในใจของมนุษย์ และเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมนำความทุกข์มาสู่ใจเรา หลายคนหาทางแก้ไข เพื่อละหรือดับความรู้สึกที่เกิดขึ้นเหล่านี้


บริหารใจ ห่างไกล 'อคติ4' thaihealth


แฟ้มภาพ


หนทางในการดับความรัก โลภ โกรธ หลง พระอาจารย์ภาณุ จิตตฑฺนโต วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก อธิบายให้เข้าใจด้วยถ้อยคำง่ายๆ ว่า


“สิ่งที่เข้ามากระทบใจนี้ มนุษย์ได้เลือกตอบสนองด้วยความรู้สึกทั้ง 4 อย่าง คือ ฉันทาคติ หมายความว่า เราเลือกปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ ด้วยความลำเอียง เช่น ลำเอียงเพราะรักหรือชอบสิ่งนั้น โทสาคติ หมายความว่า เราเกิดความลำเอียงเนื่องจากความหงุดหงิด ไม่ชอบใจ โมหาคติ หมายความว่า เราเกิดความลำเอียง เพราะเราไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อสิ่งนั้นอย่างไร และภยาคติ หมายความว่า เราลำเอียงต่อสิ่งนั้นเพราะความกลัว หรือเกรงใจ ทั้งหมดนี้ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า “อคติ 4”


พระอาจารย์ภาณุ กล่าวเพิ่มเติมว่า ชาวพุทธได้ดำเนินตามหลักของพระพุทธเจ้า คือเป็นผู้รู้ตื่นและเบิกบาน ดังนั้นกระทำสิ่งใดแปลว่าเราต้องรู้สิ่งนั้นชัดเจนก่อน การที่เราจะรู้ได้ต้องดูว่าแต่ละสิ่งมีที่มาที่ไปอย่างไร ด้านแรกคือ ความรัก ในทางพุทธศาสนาไม่ได้นิยามความรักเป็นคำๆ เดียว มีหลายๆ คำที่เกี่ยวกับความรัก เช่น ความพยายาม ความอยาก ความบริหารใจ ห่างไกล 'อคติ4' thaihealthต้องการ ความผูกพัน ความใคร่ ความพอใจ และที่สูงขึ้นไปกว่าความรักที่กล่าวมา คือความปารถนาที่จะให้ผู้อื่นมีความสุข มีความเมตตา และสูงกว่านั้นคือความปารถนาให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์ มีความกรุณา ซึ่งอยู่ในหลักของพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เราสามารถจำแนกความรักออกมาได้ดังนี้


1.ความรักตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วเป็นไปในทางของตัณหา นั่นคือต้องการดึงความสุขนั้นมาเป็นของตัวเองทั้งหมด คนที่ต้องการความสุขทั้งหมด อาจทำผิดศีลธธรม ทำร้ายผู้อื่น และเบียดเบียนผู้อื่น


2.ความรักครอบครัว เป็นหน่วยย่อยๆ ที่ขยายออกไปจากความรักตัวเอง คำภาษาบาลีคือ “เปม” (เป-มะ) เมื่อมีความรักครอบครัวจะมีการปรับตัว ลดตัวตนของตัวเองลง เพื่อปรับเข้าหาคนในครอบครัวและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข


3.รักในคนรอบข้าง เนื่องจากเราอยู่ร่วมกันหลายคนเป็นชุมชน จึงต้องเรียนรู้การประนีประนอม ลดตัวตนลงไป เพื่อปรับเข้ากับคนอื่นให้ได้ ความรักประเภทนี้เป็นความดีงามที่บริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน


4.ความรักไม่มีประมาณ คือไม่เจาะจงความรักต่อผู้ใดสิ่งใด ขยายความรักนั้นไปสู่ต่างชนชาติ ต่างภาษา ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ถือเป็นความรักขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา


“วัดเป็นที่ดับทุกข์ทางใจ การมาเจอพระผู้ทรงศีล ให้ทางออกจะทำให้มีสติ ถ้าได้ฟังธรรมะแล้วใจเราน้อมจะฟังก็ดีขึ้นไปอีก มีการสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ใจก็จะสงบ จะเห็นปัญหาอย่างชัดเจน ปัญหาของมนุษย์อยู่กับอคติที่ว่า ไม่สามารถมองสิ่งใดได้อย่างลึกซึ้ง ถูกต้อง มองไม่เห็นต้นตอของปัญหา การที่ใช้ความรู้สึกมาตัดสินทำให้ทางเลือกที่มีอยู่มันน้อยลงไป เมื่อเรามีสติและสงบมากขึ้น ก็จะมองเห็นปัญหาและยอมรับความจริงได้ง่าย” พระอาจารย์ภาณุ ให้ความเห็นเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่มีปัญหาจากความรัก และเลือกเข้าวัดเพื่อหาหนทางสงบจิตใจ


ด้านที่สอง ความโลภ ถือเป็นรากเหง้าของปัญหา มาจากความต้องการที่เป็นส่วนเกิน ถ้าเรามีสติ พิจารณาถึงปัจจัย 4 ที่เรามีว่าเพียงพอแล้วต่อการมีชีวิตอยู่ เราก็จะไม่ไปขวนขวายมัน เช่น เสื้อผ้าอาภรณ์ ถ้าเราเพียงพอแล้ว สามารถกันร้อนกันหนาว กันแมลง และให้เป็นไปโดยมารยาททางสังคมที่ดี เราควรพอใจกับสิ่งนั้น ข้าวปลาอาหารไม่ได้กินเกินกำลัง กินแล้วให้ดีกับสุขภาพก็พอ ที่อยู่อาศัย กันแดดกันฝน ให้ความมั่นคงทางชีวิตเราก็อยู่ได้ ยารักษาโรคประทังชีวิต เมื่อมีสำหรับเราเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็เพียงพอแล้ว


“ปัจจัยสี่พื้นฐาน ถ้าเรามีปัญญาเห็นว่าชีวิตเราไม่ได้ลำบากแล้ว เราก็จะดิ้นรนน้อยลง แต่หากเราเกิดการเปรียบเทียบกับบริหารใจ ห่างไกล 'อคติ4' thaihealthผู้อื่นจะทำให้เราดิ้นรนอยากได้ในสิ่งนั้นๆ ถ้าศักยภาพเราไม่พอที่จะตอบสนองความต้องการของตัวเองก็เกิดปัญหาตามมา เมื่อขาดสติก็จะทำให้เราผิดศีล มนุษย์ต้องมีตัวช่วยหลายอย่าง และอาจจะต้องหาตัวอย่างที่เป็นแรงบันดาลใจให้เรา”


สำหรับ ความโกรธ ที่เสมือนไฟร้อนนั้น พระอาจารย์ภาณุ เล่าว่า ถ้าเราไม่สามารถดับไฟในใจเรา ไฟนั้นก็จะออกมาสู่ภายนอกเผาผู้อื่นด้วย ทั้งทรัพย์สิน ร่างกาย จิตใจ เมื่อใจเป็นไฟเราต้องเอาความเย็นมาดับ


“การดับไฟนั้นต้องเอาศีลมาสกัดไว้ น้อมใจคิดว่าถ้าเราโต้ตอบ ทำร้ายคนอื่นด้วยกายหรือวาจา ก็จะเกิดการทำร้ายกัน ยับยั้งตัวเราเองด้วยการมีศีล ใช้ความเมตตา กรุณา และไม่เบียดเบียนด้วยศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่า ไม่คิดร้าย ต้องให้อภัยผู้อื่น ถ้าหากศีลยับยั้งไม่พอ ลองฝึกสมาธิหลับตา สูดลมหายใจ ให้ใจเยือกเย็น ท้ายสุดต้องใช้ปัญญา พิจารณาว่าทุกสิ่งไม่แน่นอน ความโกรธก็จะตั้งอยู่ และดับไป” พระอาจารย์ภาณุ กล่าว


อคติด้านสุดท้ายคือ ความหลง หรือ โมหะ ซึ่งเป็นรากเหง้าของกิเลสทั้งสามตัวที่กล่าวมา สิ่งนี้ทำให้เห็นผิดไปจากความจริง เช่น ความรักที่มากเกินไป ไม่ได้รักด้วยเหตุและผล เมื่อโมหะเข้าครอบงำ จะทำให้เราเบียดเบียนผู้อื่นไม่ว่าจะวิธีการใดๆ ก็ตาม ด้านความโลภจากการเกิดโมหะจะเกิดขึ้นถ้าหากเราไม่เกิดปัญญา ความอยากได้มันเป็นส่วนเกิน เราจะขวนขวายเกินพอดี แสวงหาเกินพอดี และสุดท้ายคือความโกรธ เมื่อมีโมหะเข้าครอบงำ เราก็จะโกรธและเกลียดคนที่เราเห็นว่าไม่ดีอย่างเต็มที่ ถ้าเราพอเห็นส่วนดีบ้างท่ามกลางความไม่ดีนั้น เราก็จะให้อภัยผู้อื่น ความโกรธเกลียดก็จะเบาบางลงไป เราจะแก้โมหะได้ต่อเมื่อเรายอมรับว่าสิ่งต่างๆ มีหลายแง่มุม มองให้รอบด้าน ใช้สติกับสมาธิเข้าช่วย ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์เราฝึกกันได้ไม่ยากจนเกินไป


ใจที่อคติจากความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง คลายทุกข์ในใจได้ด้วยการยอมรับ ใช้ศีล สมาธิ และปัญญาที่จะน้อมนำมาให้เกิดความตื่นรู้ และความสงบในจิตใจ…


 


 


เรื่องโดย อาภาวรรณ โสภณธรรมรักษ์ team content www.thaihealth.or.th


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ

Shares:
QR Code :
QR Code