นักศึกษา!!เหยื่ออุบัติเหตุทางถนนที่ทุกคนมองข้าม

นักศึกษา!!เหยื่ออุบัติเหตุทางถนนที่ทุกคนมองข้าม

         

แทบทุกเดือนเราจะพบเห็นข่าวโศกนาฏกรรม ความสูญเสียที่เกิดกับนิสิต-นักศึกษาที่ขับรถยนต์และเกิดการชน และเกือบทุกครั้งสาเหตุที่เกี่ยวข้องก็จะเป็นเรื่องของ “ขับรถเร็ว ดื่มฉลอง เมาแล้วขับ และหลับใน” แทบทั้งสิ้น นพ. ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน          มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ให้ข้อมูลอุบัติเหตุเกี่ยวกับการขับขี่รถยนต์ของนักศึกษา ว่า ในช่วงเทศกาล “ฮัลโลวีน” ที่ผ่านมา เกิดเหตุสลด “นศ.เมาซิ่งเก๋งดับ 4 ศพ” ซึ่งตามข่าวระบุว่า นักศึกษา ม.รังสิต ไปเที่ยวย่านเอกมัยและประสบเหตุในช่วงตี 4 บริเวณแยกหลักสี่ และก่อนหน้านี้ก็มีข่าวอุบัติเหตุของนิสิต-นักศึกษา ที่สำคัญได้แก่

 

            นศ.ซิ่งแหกด่านขยี้ ตร. เมียท้อง 7 เดือนสุดโศก โดยเกิดเหตุในช่วง 02.30 น. และนักศึกษา ม.หอการค้าไทย อายุ 21 ปี มีอาการคล้ายคนเมา

 

            พริตตี้สาวชะตาขาด ซิ่งรถเหยียบแมวเสียหลักอัดก๊อบปี้ต้นไม้ไฟลุกเผาร่างเกรียม ในข่าวระบุว่าทั้งคู่เป็นนักศึกษา อายุ 22 ปี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มารับงานให้ค่ายรถแห่งหนึ่ง และขับกลับด้วยความเร็วสูง

 

            นศ.รามซิ่งวีออสดับ 2 ศพ ในข่าวระบุว่า ช่วงเกิดเหตุ 22.00 น. ฝนตกและขับด้วยความเร็วลงสะพานข้ามแยก

 

            นักศึกษา ม.กรุงเทพซิ่งแจ๊ซชน จยย.ดับสยอง 2 ศพ เป็นเหตุการณ์ในช่วงเช้า และนักศึกษาที่ชนมีอาการคล้ายคนเมา และระบุว่า จำไม่ได้ว่าขับออกมาจากที่ไหนและเหตุการณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร ช่วงที่เกิดอุบัติเหตุขับรถชนก็จำไม่ได้ มารู้สึกตัวและตั้งสติได้อีกทีก็ตอนที่อยู่โรงพักแล้ว

           

นศ.มหิดลอินเตอร์ ซิ่งเก๋งชนเสาไฟขาดสองท่อน ดับ 1 เจ็บ 3 ทั้งหมดเป็นนักศึกษาปี 1 และผู้ตายอายุเพียง 19 ปี

 

มีคำถามตามมามากมายว่า… ทำไมนิสิต-นักศึกษาที่กำลังก้าวสู่รั้วมหาวิทยาลัย และเพิ่งครบวัยทำใบอนุญาตขับรถยนต์ (อายุ 18 ปีขึ้นไป) ถึงต้องรีบร้อนใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งสถานศึกษาบางแห่งโดยเฉพาะของเอกชน มีผู้นำรถยนต์มาใช้เกือบจะมากกว่าผู้ที่เดินทางด้วยรถสาธารณะ และถือเป็นแหล่งรวมรถยนต์รุ่นใหม่ๆ

 

            ในขณะที่ ระบบการให้ใบอนุญาตขับรถ ของประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน อยู่ในเกณฑ์ต่ำ (เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย) จะเข้มงวดกับผู้ขับขี่หน้าใหม่ โดยมีการออกใบอนุญาตอย่างเป็นขั้นเป็นตอน (graduate licensing) ได้แก่ การเรียนและสอบขอใบอนุญาตไม่ต่ำกว่า 30 ชั่วโมง เมื่อสอบผ่านได้ใบอนุญาตขับรถยนต์ชั่วคราวแล้ว ยังต้องขับโดยมีผู้มีประสบการณ์นั่งไปด้วย ห้ามขับเวลากลางคืน ฯลฯ และที่สำคัญคือ ถ้ามีการเมาแล้วขับจะถูกยึดใบอนุญาตขับรถยนต์ทันที

           

ปัจจัยสำคัญของความรุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุในกลุ่มนิสิต-นักศึกษาที่ขับรถยนต์ คือ การใช้ชีวิตของนักศึกษาในยุคปัจจุบันเองก็ อยู่ในวัฒนธรรมของความเร่งรีบ ทุกอย่างดูต้องรวดเร็วจึงจะถือว่าเก่ง เช่น ใครจะเรียนจบเร็ว ใครจะมีมือถือ-มีคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ก่อน และที่สำคัญคือใครจะออกรถรุ่นใหม่ได้ก่อนกัน

           

ถ้ายังจำโฆษณารถรุ่นใหม่ของค่ายรถยุโรปแห่งหนึ่งที่ใช้แนวคิด (concept) เรื่อง ความเร่งรีบ-ความเร็ว เป็นจุดขาย… “รีบไปรับแฟน รีบไปรับแม่ รีบไปทำงาน ชีวิตที่เร่งรีบ ต้องใช้รถ ….” แสดงให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่กับชีวิตที่เร่งรีบถือเป็นของคู่กัน

 

            นอกจากการมีชีวิตที่เร่งรีบของนิสิต-นักศึกษาแล้ว การใช้ชีวิตด้วยความสนุกสนาน การเฉลิมฉลองและเพื่อนฝูง ก็เป็นอีกจุดขายหนึ่งของ “ธุรกิจสุรา” ที่ใช้เป็นอาวุธเจาะตลาดกลุ่มนี้อย่างได้ผล ถ้าดูจากตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2539-2550 เยาวชนอายุ 15-19 ปี มีอัตราการดื่มประจำเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 70 โดยปี 2550 พบว่า เยาวชนที่อายุ 15 ปีขึ้นไปดื่มสุรามากถึง 19.3 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้หญิงถึง 2.3 ล้านคน นอกจากนี้ ผลสำรวจของเครือข่ายเยาวชนฯ พบว่า มีร้านเหล้าเพิ่มขึ้นมากถึง 1,522 ร้าน จาก 45 สถาบัน หรือรอบมหาวิทยาลัย 1 แห่งจะมีร้านเหล้ามากถึง 34 ร้าน ซึ่งข้อมูลจากการศึกษาของประเทศนิวซีแลนด์และในหลายประเทศบ่งชี้ให้เห็นว่า ยิ่งอายุน้อย ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ โดยพบว่า ระดับแอลกอฮอล์ของผู้ดื่มที่เป็นเยาวชน (15-19 ปี) จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าอายุ 20-25 ปี และ 30 ปีขึ้นไป

           

นอกจากนี้ ยังพบว่านักดื่มส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักถึงอันตรายในการขับรถเมื่อดื่มสุรา ดังจะเห็นได้จากเอแบคโพลล์เคยสำรวจและพบว่า 1/3 ของคนที่ดื่มเบียร์ 2 ขวด (ซึ่งจะเกินกว่า 50 mg/dl) ยังคิดว่าตัวเองขับขี่ได้ เช่นเดียวกับคนดื่มสุรา 1 แบน ครึ่งหนึ่งระบุว่าตัวเองคิดว่าขับได้

 

            สำหรับผู้ดื่มที่ดื่มหนักมากจะต้องใช้เวลาในการกำจัดแอลกอฮอล์ที่ยาวนานหลายชั่วโมง โดยพบว่า… ผู้ที่ดื่มในปริมาณสูงในช่วงกลางคืนก็อาจจะมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงและมีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุในช่วงเช้า สำหรับเพื่อนๆ ที่ไปเที่ยวด้วยกันก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการนั่งรถที่คนเมาขับ แต่ส่วนใหญ่ไม่ตระหนัก และบางส่วนไม่สามารถปฏิเสธการเดินทางได้ โดยสถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ ศึกษาผู้พิการ 200 รายจากอุบัติเหตุทางถนนที่เกี่ยวข้องกับการดื่มสุราพบว่า 3/4 อยู่ในวัย 13-30 ปี โดยกลุ่มผู้ชายระบุว่าต้องฝืนขับทั้งๆ ที่เมา เพราะกลัวเสียหน้า บางส่วนจะหวงรถไม่ยอมให้คนอื่นขับ ส่วนกลุ่มผู้หญิงจะเกรงใจในการปฏิเสธการเดินทางกับคนที่ดื่มและเมา

           

ดังนั้น กลุ่มนิสิต-นักศึกษาที่ขับรถยนต์ ถือเป็นกลุ่มที่มีทั้ง 3 ปัจจัยเสี่ยงประกอบกันคือ (1) การขาดประสบการณ์ในการขับขี่ และวุฒิภาวะในการตัดสินใจ แต่มานั่งหลังพวงมาลัยรถยนต์ที่เครื่องยนต์มีกำลังสูง (2) การขับรถเร็ว และ (3) ดื่มแล้วขับ .. ซึ่งโอกาสที่ทั้ง 3 ปัจจัยจะมารวมกันเกิดขึ้นได้ตลอด โดยเฉพาะสถานการณ์ที่จะมีการเฉลิมฉลอง ได้แก่ ปิดภาคเรียน รับปริญญา วันเกิดเพื่อน เทศกาลต่างๆ เช่น ปีใหม่ วาเลนไทน์ สงกรานต์ ฮัลโลวีน ลอยกระทง ฯลฯ

           

คำถามท้ายสุดคือ นอกจากให้นิสิต-นักศึกษาที่มีรถยนต์ขับขี่ต้องเกิดจิตสำนึกความปลอดภัยและเรียนรู้ทักษะขับขี่ที่สำคัญแล้ว ใครจะช่วยพวกเขาได้ และคำตอบที่ผู้เกี่ยวข้องต้องร่วมกันรับผิดชอบ คือ

 

1.     กรมการขนส่งทางบก .. ควรทบทวนและพัฒนาระบบการออกใบอนุญาตขับรถยนต์ที่มีคุณภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ระบบ  graduate  licensing ในกลุ่มเยาวชนเหล่านี้

 

2.     สถานศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัย วิทยาลัย และสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) ควรทบทวนเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางของนิสิตนักศึกษา ว่าจะมีมาตรการหรือแนวทางที่เป็นรูปธรรมอย่าง ไร มิใช่เมื่อเกิดเหตุการณ์ก็มารณรงค์กวดขันแบบไฟไหม้ ฟาง เพราะถ้า สกอ.และสำนักงานคณะกรรมการอาชีว ศึกษาได้มีการรวบรวมข้อมูลนิสิต-นักศึกษาที่เสียชีวิตและพิการจากอุบัติเหตุทางถนน ตัวเลขไม่น่าจะต่ำกว่า 100 คนในแต่ละปี หรือ คิดง่ายๆ ว่า ทุกๆ ปีจะมีนิสิต-นักศึกษาหายไป 2 ห้องเรียน

 

3.     ผู้ปกครองควรคิดให้รอบคอบก่อนสนับสนุนให้บุตร หลานใช้รถยนต์ และถ้าจำเป็นต้องมีก็ควรมีเงื่อนไขหรือระบบการเรียนรู้ขับขี่ที่สำคัญคือ การกำกับช่วงเวลาใช้ โดยเฉพาะการขับขี่กลางคืน เดินทางต่างจังหวัด หรือการต้องไปเที่ยวฉลองในงานต่างๆ

 

4.     เพื่อนๆ นิสิต-นักศึกษาจะช่วยกันสร้างวัฒนธรรมใหม่ในสถานศึกษา ไม่ตกเป็นเครื่องมือบริโภคนิยม ที่ส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ การมีรถขับขี่เป็นเรื่องสำคัญ โดยที่ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม และที่สำคัญคือ ช่วยกันลดพฤติกรรมขับรถเร็ว และดื่มแล้วขับ

           

            สุดท้าย ถ้าทุกฝ่ายไม่มองข้ามเรื่องเหล่านี้ และหันมาช่วยกัน พวกเขาเหล่านี้ ซึ่งบางส่วนอาจจะเป็นคนใกล้ชิดหรือญาติของเรา คงจะมีชีวิตยืนยาว และเป็นอนาคตของครอบครัวและสังคมต่อไป

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

 

 

update : 03-11-53

อัพเดทเนื้อหาโดย :  ศิรินทิพย์ อิสาสะวิน

 

Shares:
QR Code :
QR Code