นักวิชาการเสนอแนวทางแก้ปัญหาท้องวัยรุ่น

        นักวิชาการ เสนอแนวทางแก้ปัญหาท้องวัยรุ่น  ชี้ต้องบูรณการการทุกภาคส่วน เน้นพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต ผู้ปกครอง-การศึกษา-สื่อ มีส่วนสำคัญ แนะครูสอนวิชาชีวิตแทรกทุกวิชา  สสส.  ชู จ.อุตรดิตถ์ นำร่อง 17 โรงเรียน เริ่มสอนเพศศึกษาชั้นประถม ลดปัญหาท้องวัยรุ่นได้ผล


/data/content/25685/cms/e_adelpstvy457.jpg


        เมื่อวันที่ 10 กันยายน ที่อิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง (สคส.) มูลนิธิแพธทูเฮลท์ กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และภาคีเครือข่ายกว่า 20 องค์กร ร่วมกันจัด “การประชุมระดับชาติเรื่องสุขภาวะทางเพศ ครั้งที่ 1” ประเด็น “การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น" เป็นวันที่สาม ผลจากการประชุมที่ผ่านมามีข้อเสนอเชิงนโยบายหลายประการ เพื่อป้องกันและลดปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นให้ได้ผล 


        นายจิระพันธ์ กัลป์ละประวิทย์ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน  สำนักงานคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรถึง 1 ใน 6 ที่เกิดจากแม่ที่อายุไม่ถึง 20 ปี โดยเฉพาะเด็กหญิงแม่ ซึ่งสถานการณ์นี้จะส่งผลให้การรองรับสังคมผู้สูงอายุของไทยทำได้ยากขึ้น สศช. จึงผลักดันนโยบาย“การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต” ตั้งเป้าหมายให้ทุกคนที่จะเกิดมา ต้องมีความพร้อมตั้งแต่ก่อนเกิด เมื่อเกิดแล้วต้องได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ ได้รับโอกาสพัฒนาศักยภาพจนถึงจุดสูงสุดที่ไปได้ เพื่อเป็นกำลังคนที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูง สามารถรับภาระการดูแลทั้งตัวเอง ครอบครัว และผู้สูงอายุได้ต่อไป  โดยนโยบายดังกล่าว เน้นให้ความสำคัญกับกรพัฒนาครอบครัว การให้เวลาของพ่อแม่ต่อลูกอย่างมีคุณภาพ การสร้างภูมิคุ้มกันแก่สังคม ให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่บุคลากรและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และการรับฟังเด็ก เยาวชนให้มากขึ้น ทั้งนี้ ในการประชุมฯ ตลอด 2 วันที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีข้อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ของวัยรุ่น ที่สอดคล้องกับนโยบาย “การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต”


        ดร.อุทัย ดุลยเกษม อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า คุณภาพการศึกษาไทยในภาพรวมต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งๆ ที่กระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นและมีอัตราส่วนงบการศึกษาสูงกว่าเพื่อนบ้านเรา  เรายังติดกับการวัดความสำเร็จด้วยการวัดผลผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาเพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่ช่วยให้คุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนดีขึ้น  การสอนวิชาการต้องให้ความสำคัญกับอรรถประโยชน์  เช่น สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ต้องสอนให้เด็กมีวิธีคิดแบบมีเหตุมีผล ไม่ใช่จำแต่สูตรเคมี ควรให้เด็กได้ค้นคว้าหาข้อเท็จจริง วิชาสุขศึกษา ควรให้เด็กรู้จักไม่ใช่แค่ร่างกายและอวัยวะต่างๆ แต่ต้องรู้เรื่องอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ทั้งรัก โกรธ เกลียด เสียใจ รวมถึงความรู้สึกทางเพศ ควรเรียนรู้เรื่องสัมพันธภาพและเพศศึกษาด้วย “ต้องสร้างการเรียนรู้ให้เด็ก"  ให้เขารู้เท่าทันและรับมือได้ต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ทั้งนี้ กลุ่มผู้ปกครองต้องออกมาเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย


       ดร.วจี ปัญญาใส มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ผู้รับผิดชอบโครงการพัฒนาการเรียนรู้เพศศึกษาในโรงเรียนเครือข่าย 17 โรงเรียน ใน จ.อุตรดิตถ์  กล่าวว่า  การสอนเพศศึกษาใน โรงเรียนในอดีตมีเฉพาะในระดับชั้นมัธยมศึกษา แต่ขณะนี้เราได้เริ่มนำร่องสอนในชั้นประถมศึกษาตอนปลายใน รร.มัธยมขยายโอกาส 11 แห่งด้วย รวมทั้งเริ่มให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องเพศศึกษาให้กับกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครอง ซึ่งพบว่า การสอนเพศศึกษาให้กับทั้งนักเรียนและผู้ปกครอง  ร่วมกับการเข้าถึงบริการคุมกำเนิด เช่น การกระจายถุงยางอนามัย มีส่วนช่วยลดอัตราแม่วัยรุ่นลงได้จริงใน 3 ตำบลนำร่อง ในจ.อุตรดิตถ์  คือเทศบาลตำบลบ้านแก่ง เทศบาลตำบลท่าปลา องค์การบริหารส่วนตำบลชัยจุมพล ที่ สสส.สนับสนุนการบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยตำบลบ้านแก่งไม่มีแม่วัยรุ่นเลยในปีนี้


        ดร.สายพันธ์ ศรีพงษ์พันธ์กุล นักวิชาการการศึกษาชำนาญพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาฯ มีนโยบายสนับสนุนให้มีการสอนเรื่องเพศศึกษา และการเสริมสร้างทักษะชีวิต โดยเฉพาะเด็กที่ก้าวพลาด จะต้องได้รับการศึกษาจะไม่มีการไล่ออกอย่างเด็ดขาด หากเด็กคนไหนไม่ยินดีที่จะเรียนในโรงเรียนปกติ จะจัดการศึกษาทางเลือกให้แก่เด็ก เพื่อให้มีการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพได้ นอกจากนี้ยังมีมาตรการสำหรับเด็กที่ก้าวพลาด 4 มาตรการ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น คือ 1.เน้นการจัดการเรียนรู้เพศศึกษาและสร้างภูมิคุ้มกัน  2.มาตรการเฝ้าระวัง ครูต้องรู้จักนักเรียน  รู้จักบ้านและผู้ปกครองของนักเรียน พร้อมทั้งสามารถสังเกตความผิดปกติในเด็กที่ประสบปัญหา 3.การดูแล ให้ความช่วยเหลือ และคุ้มครองนักเรียนตั้งครรภ์ 4.สร้างความตระหนักและพัฒนาการมีส่วนร่วมของเครือข่าย ร่วมดูแลนักเรียนที่ประสบปัญหา ทั้งผู้นำชุมชน หมอ พยาบาลในพื้นที่ ตำรวจ ผู้ปกครอง


        พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า สื่อต่างๆ โดยเฉพาะละครโทรทัศน์ มีส่วนสำคัญต่อวิธีคิดของคนในสังคม โดยละครเกือบทุกเรื่องมักมีบทพระเอกข่มขืนนางเอก และจบลงด้วยการรู้ภายหลังว่า นางเอกเป็นสาวบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับชีวิตจริงของผู้หญิงที่ถูกข่มขืน รวมถึงวัยรุ่นที่พลาดพลั้งมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจ ละครแนวนี้ปั้นความคิดของคนในสังคมให้มองเรื่องข่มขืนเป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายจะทำได้ มองความบริสุทธิ์ของผู้หญิงเป็นสิ่งที่ต้องเทิดทูนบูชา ซึ่งเป็นสองฐานคิดต่อความเป็นหญิงชายที่ต่างกันสิ้นเชิง จึงขอเสนอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบและสื่อด้วยกันเอง ต้องมีมาตรการแก้ไขโดยเร่งด่วน  มิฉะนั้นจะเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อการแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น รวมถึงปัญหาการข่มขืนและความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดขึ้นเป็นข่าวเกือบทุกวัน  


 


 


      ที่มา: สำนักข่าวสร้างสุข

Shares:
QR Code :
QR Code