นักพัฒนาย้อนมองอดีต เพื่อพัฒนางานในอนาคต

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์


ภาพประกอบจากเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ


นักพัฒนาย้อนมองอดีต เพื่อพัฒนางานในอนาคต thaihealth


สถาบันส่งเสริมภาคประชาสังคม (สสป.) ร่วมกับ มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดเวทีสาธารณะ "เสริมพลังภาคประชาสังคมเพื่อสังคมสุขภาวะ" ณ ศูนย์ประชุมสถบันวิจัยจุฬาภรณ์ มีภาคประชาสังคมกลุ่มต่างๆ


ทั้งองค์กรที่ทำงานด้านพื้นที่และองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ เช่น เด็ก สตรี แรงงาน ความหลากหลายทางเพศ สุขภาพทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น ซึ่งร่วมขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องและมีผลงานที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยในอย่างมากมาย แต่กลับพบว่าภาครัฐเอกชน รวมทั้งประชาชนยังคงตระหนักถึงคุณค่าและบทบาทของภาคประชาสังคมต่อการพัฒนาสังคมไทยในระดับน้อย การตัดสินใจด้านนโยบายต่างๆ จึงยังคงอยู่ภายใต้อำนาจรัฐและทุนเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการจัดเวทีสาธารณะ "เสริมพลังภาคประชาสังคมเพื่อสังคมสุขภาวะ"  คาดหวังจะสร้างความตระหนักถึงความหมาย คุณค่า และบทบาทของภาคประชาสังคมที่เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศจากอดีตจนถึงปัจจุบัน และแลกเปลี่ยนบทเรียนการทำงานของภาคประชาสังคมในประเทศไทย โดยภายใต้การเสวนา "ประชาสังคมไทย…ไปทางไหน ?"


ศ.ดร.อุทัย ดุลยเกษม อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร มองการทำงานของภาคประชาสังคมว่าเป็นองค์กรที่สร้างองค์ความรู้เฉพาะเรื่องในระดับลึก เป็นแหล่งเพราะและเสริมสร้างพัฒนาคนรุ่นใหม่ แต่มีประเด็นที่ต้องขบคิดเมื่อสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำความขัดแย้งทางการเมือง เราจะวางบทบาทของภาคประชาสังคมอย่างไร พฤติกรรมของประชาชนที่เปลี่ยนไปสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้มากขึ้น ความเชื่อมั่น ศรัททธา เชื่อถือกันและกันลดน้อยลงไป มีข้อจำกัดมากขึ้น เงินบริจาคลดลง เป็นข้อท้าทายสำหรับภาคประชาสังคมในการทำงานต่อไปในอนาคต ประกอบกับการทำงานบางครั้งอาจไม่สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ หน้าที่ของประชาสังคมต้องทำให้คนเข้าใจปัญหานี้แหละร่วมกันแก้ปัญหานี้ร่วมกัน


นางสาวสุภัทรา นาคะผิว ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ เสนอว่า ต้องมีกระบวนการสร้างคน เพื่อให้มีคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาทำงานที่มีความเป็นมืออาชีพ มีแนวคิดอุดมการณ์ที่ได้รับการหล่อหลอมขึ้นมา และต้องสร้างความเข้าใจของคนในสังคมเกี่ยวกับการทำงานของภาคประชาสังคม ไม่ใช่ปล่อยให้มีการปล่อยให้มีข้อมูลในทางที่ผิดๆ แล้วไม่มีการแก้ไข นอกจากนี้การทำงานของภาคประชาสังคมต้องก้าวข้ามการทำงานในระดับสังคมสงเคราะห์ ให้ไปสู่งานระดับสิทธิ และขับเคลื่อนไปสู่การทำนโยบายสาธารณะให้ได้ โดยร่วมกันเป็นขบวนจึงจะมีพลังสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง สิ่งที่อยากเห็นของการทำงานของภาคประชาสังคม คือ ร่วมสร้างสังคมอยู่เย็นเป็นสุข ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเป็นธรรม


ด้าน นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ที่ปรึกษาคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือ เชื่อว่า ตราบใดที่สังคมไทยยังมีความเหลื่อมล้ำ ไม่มีความเป็นธรรม การทำงานของภาคประชาสังคมยังต้องทำงานอย่างเข้มแข็งต่อไป แต่ในยุคปัจจุบันภาคประชาสังคมต้องปรับตัว แต่ในยุคปัจจุบันภาคประชาสังคมต้องปรับตัว เพราะอยู่ภายใต้โครงสร้างสังคมที่มีคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีอำนาจ มีทุน ซึ่งส่งผลกระทบต่อคนกลุ่มใหญ่ในประเทศ ภาคประชาสังคมอาจไม่สามารถเปลี่ยนอำนาจรัฐได้ แต่การเติบโตของภาคประชาสังคมจะเป็นหลักประกันที่ทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ดังนั้นภาคประชาสังคมต้องรวมพลังเชื่อมโยงการทำงานกัน ระดมสรรพกำลัง ทุนทรัพยากรบุคคลเพื่อสร้างสังคมใหม่ร่วมกัน


ส่วน นายวิฑูรย์ ปัญญากุล กรรมการมูลนิธิสายใยแผ่นดิน มองว่าอนาคตของหน่วยงานภาครัฐจะเล็กลงเพราะคนรุ่นใหม่ในหน่วยงานต่างๆ ยังไม่มีประสบการณ์ หรือความรู้เฉพาะทาง ในขณะองค์กรพัมนาเอกชนทำงานในประเด็นต่างๆ ทั้งระดับกว้างและลึก ดังนั้นต้องยกระดับความเป็นมืออาชีพให้มากขึ้น จึงจะเป็นกำลังที่ช่วยทำให้การทำงานของภาครัฐขับเคลื่อนไปได้


"นอกจากนี้ผมยังมีความเชื่อว่าสังคมเปลี่ยนไม่ได้ถ้าตัวเองไม่เปลี่ยน ดังนั้นคนที่ทำงานภาคประชาสังคมต้องกล้าที่จะเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตตามความเชื่อและอุดมการณ์ ใช้พลังเล็กน้อยของพสวกเราเพื่อสร้างให้เกิดพลังสูงสุดในการสร้างความเปลี่ยนแปลงของสังคม" นายวิฑูรย์กล่าวทิ้งท้าย

Shares:
QR Code :
QR Code