ธรรมะไม่ใช่เรื่องเข้าใจยาก ยิ่งรู้ยิ่งเป็นสุขทั้งกายและใจ
หากจะพูดถึง “การสวดมนต์” เชื่อว่าพุทธศาสนิกชนชาวไทยทุกคนรู้ว่าคืออะไร แต่ถ้าจะให้ตอบว่า ธรรมะคืออะไรหลายคนไม่กล้าที่จะบรรยาย โดยคิดว่า เรื่องของธรรมะเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก หากไม่ใช่พระ ไม่ใช่นักบวช จะไม่สามารถเข้าใจในเรื่องของธรรมะได้อย่างถ่องแท้ หากใครเข้าใจแบบนี้ ถือว่า เป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์เพราะเรื่องของธรรมะไม่ใช่เรื่องยาก อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน
ถ้ายังไม่แน่ใจว่า เรื่องของธรรมะไม่ใช่เรื่องยาก ลองมาฟังพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี ผอ.สถาบันวิมุตตยาลัยบอกเล่าเรื่องของธรรมะให้ฟังกันก่อนก็ได้ ดังต่อไปนี้
ท่าน ว. วชิรเมธี กล่าวโดยเทียบเคียงเชื่อมโยงเริ่มต้นจากการสวดมนต์ ว่า คงมีพุทธศาสนิกชนจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่ยังไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของการสวดมนต์ เนื่องจากปัจจุบันการสวดมนต์ถูกนำไปใช้ในพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ การขอพรและการบนบานมากขึ้น จึงทำให้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พุทธศาสนิกชน ส่วนหนึ่งเข้าใจจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการสวดมนต์คลาดเคลื่อนไป
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี พระนักเทศน์ชื่อดัง และผอ.สถาบันวิมุตตยาลัยกล่าวยอมรับว่า การสวดมนต์ถือว่าเป็นกุศลกิจกรรม แต่หากนำไปใช้ในทางขาดปัญญา เช่นสวดเพื่อพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ ก็อาจจะกลายเป็นความงมงายได้ดังนั้นจึงอยากให้ความรู้ว่า การสวดมนต์ คือการสวดพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งการสวดมนต์จะมีอานิสงส์มาก เพราะว่าสิ่งที่สวดล้วนเป็นหลักธรรมสำคัญของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น ยิ่งถ้าผู้สวดมีความรู้มีความเข้าใจในสิ่งที่สวดด้วย การสวดมนต์ก็อาจอำนวยผลสูงสุดเป็นการบรรลุภาวะพระนิพพานได้อีกด้วย ซึ่งเหตุนี้จึงกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า “การสวดมนต์นั้น ถ้าสวดเป็น ก็เห็นธรรม”
ส่วนการสวดมนต์นั้นควรสวดเมื่อใด ท่าน ว.วชิรเมธีท่านให้คำตอบไว้ว่า ใครที่มีเวลามากพอจะตั้งเป็นกติกาขึ้นมาสำหรับตนเองด้วยการสวดมนต์ตอนเช้าตรู่ หรือตอนเย็น หรือเวลาก่อนนอนก็ทำได้ แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาจะสวดตามสะดวกที่ไหนเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะที่วัด ที่บ้าน ที่ทำงานบนรถส่วนตัว บนรถประจำทางยามนั่งรอ เพื่อทำกิจกรรมใดๆ หรือแม้กระทั่งยามเดินทางไกลที่ต้องขึ้นรถ ลงเรือ หรือยามไปนอนพักค้างอ้างแรมในต่างถิ่นต่างที่หรือในยามที่จิตใจว้าวุ่น สับสน ประหวั่นพรั่นพรึง ต้องการขวัญกำลังใจ ก็สามารถสวดมนต์ได้ทั้งสิ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า “พระพุทธมนต์นั้น สวดได้ทุกที่ ทุกเวลา”
ท่าน ว.วชิรเมธี แนะนำบทสวดมนต์ ๙ บท ที่เหมาะสำหรับพุทธศาสนิกชนผู้ที่มีเวลาน้อย และที่มีสาระสำคัญสำหรับนำมาประพฤติปฏิบัติได้ในชีวิตจริง ไม่เน้นบทที่เกี่ยวกับ การวิงวอนขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งบทสวดมนต์ทั้ง ๙ บทนั้นประกอบด้วย
๑. บทนมัสการพระรัตนตรัย/ปุพพภาคนมการ/ไตรสรณคมน์ เป็นบทสวดมนต์เพื่อแสดงความเคารพต่อพระรัตนตรัย
๒. บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย เป็นบทสวดมนต์เพื่อความซาบซึ้งในคุณของพระไตรรัตน์
๓. บทมงคลสูตร เป็นบทสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลแห่งชีวิต
๔. บทกาลามสูตร เป็นบทสวดมนต์เพื่อฝึกตนให้เป็นคนมีปัญญา
๕. บทภัทเทกรัตตสูตร เป็นบทสวดมนต์เพื่อฝึกการเจริญสติในชีวิตประจำวัน
๖. บทโอวาทปาติโมกข์ เป็นบทสวดมนต์เพื่อเรียนรู้หัวใจของพระพุทธศาสนา
๗. บทปพัพโตปมคาถา เป็นบทสวดมนต์เพื่อความเป็นผู้ไม่ประมาท
๘. บทเมตตปริตร เป็นบทสวดมนต์เพื่อความเป็นผู้มีเสน่หาน่ารัก
๙. บทแผ่เมตตา เป็นบทสวดมนต์เพื่อฝึกใจให้เปี่ยมด้วยเมตตาจิต
ไม่ผูกขาดเฉพาะผู้ที่อยู่ในเพศบรรพชิตเท่านั้น ที่ สนับสนุนในเรื่องของการสวดมนต์ แม้แต่ในเพศฆราวาส อย่าง ดร.อำนาจบัวศิริ รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็ยังสนับสนุนในเรื่องนี้ว่าการสวดมนต์นั้น ศาสนาอื่นๆ ไม่ว่าคริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู หรือ ซิกข์ ก็มีการสวดมนต์ด้วยแบบของตนเอง แต่หากพูดถึงอานิสงส์ของการสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา ด้วยตรรกะทางวิทยาศาสตร์มาเกี่ยวข้อง จะพบว่ามีคุณสมบัติที่ดีหลายอย่างดังนี้
๑.ความจำดี ปัญญาดี เพราะการสวดมนต์เป็นประจำ ทำให้เกิดสมาธิ และเมื่อกระทำสิ่งใดด้วยสมาธิย่อมได้ผลดี ไม่ว่าจะเรียนหนังสือ ก็จะจำแม่น คิดเก่ง หากทำงานก็จะเกิดประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีขึ้น หรือหากเป็นผู้สูงอายุ การสวดมนต์จะสามารถฟื้นฟูภาวะการเสื่อมของสมองได้อย่างดี ดังนั้น การสวดมนต์จึงสามารถทำได้ ทุกเพศ ทุกวัย และทุกวันยิ่งดี
๒.จิตเมตตา กรุณา เนื่องด้วยการสวดมนต์นั้นสร้างสมาธิเมื่อมีสมาธิจิตใจก็จะสงบ และสามารถปลดความทุกข์ที่เกิดขึ้นทิ้งได้โดยง่าย เมื่อให้อภัยได้ ก็จะมีความเมตตากรุณาตามมา
๓.สร้างความเชื่อมั่น บุคลิกดี เกิดจากบทสวดมนต์ต่างๆจะมีความหมายที่ส่งเสริมให้เกิดกำลังใจ ซึ่งผู้ที่มีกำลังใจ จิตใจที่เข้มแข็ง ก็มักจะมีสุขภาพจิตที่ดี ทำให้เกิดเป็นความมั่นใจในตนเองโดยแต่ละบทสวดมนต์จะแทรกคำสอน คำพูดในเชิงสร้างสรรค์
๔.สติแจ่มใส สุขภาพจิตดี เกิดจากสมาธิในระหว่างการสวดมนต์ จะทำให้ใจปลอดโปร่งจากเรื่องต่างๆ บวกกับความเชื่อว่าการสวดมนต์ เป็นการประกอบกรรมดี ผู้สวดจึงเกิดความปลื้มปีติทำให้เกิดจิตใจที่สงบ และรู้สึกเป็นสุข
การสวดมนต์ เมื่อนำไปใช้ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว ความสุขที่ได้จะเกิดขึ้นกับทั้งร่างกายและจิตใจของตัวผู้สวดมนต์เอง และที่สำคัญหากเราเข้าใจความหมายของบทสวดมนต์ด้วยแล้ว เราก็จะพบว่า “ธรรมะ” ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจ”
ภาพประกอบ : อินเทอร์เน็ต
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า โดย ปานมณี