ทหารไทยหัวใจสีขาวเลิกเหล้าเพื่อชาติเพื่อครอบครัว
ทหารได้ชื่อว่า เป็นรั้วของชาติ ที่คอยปกป้องคุ้มครองให้ประชาชนและประเทศชาติได้อยู่กันอย่างปลอดภัย แต่จะเป็นอย่างไรถ้ารั้วของชาติเหล่านี้จะต้องมีปัญหาทั้งสุขภาพ ครอบครัว และที่ทำงานโดยมีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่อง
ที่ผ่านมา ศูนย์การทหารราบ ค่ายธนะรัชต์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ร่วมกับ สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) ได้จัดกิจกรรม โครงการทหารไทยหัวใจสีขาว งดเหล้าเข้าพรรษามหากุศล เพื่อร่วมฉลองพุทธชยันตี 2,600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และถวายเป็นพระราชกุศล ฯ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีวัตถุประสงค์หรือแนวทางการจัดกิจกรรมสำหรับข้าราชการ กำลังพลและครอบครัว เพื่อปลูกฝังอุดมการณ์ทหาร ด้านการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของการจัดโครงการทหารไทยหัวใจสีขาวฯในครั้งนี้
พลตรี อภิชัย หงส์ทอง ผู้บัญชาการศูนย์การททหารราบ ค่ายธนะรัชต์ กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีกว่า ปัญหาความรุนแรงต่างๆ ทั้งในครอบครัวและสังคมมีสาเหตุหลักๆ มาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อีกทั้งศูนย์การทหารราบ ค่ายธนะรัชต์ เป็นหน่วยงานทหารขนาดใหญ่ ที่มีชุมชนหมู่บ้านและผู้พักอาศัยอยู่ในค่ายมากกว่า 20,000 คน มีร้านค้ามากกว่า 100 แห่ง
ที่ผ่านมา พลตรีอภิชัย ให้ข้อสังเกตว่า เมื่อทางค่ายมีงานเลี้ยงเมื่อใดกลุ่มนายทหารชั้นประทวนจะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุดเมื่อเทียบกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ส่วนการควบคุมการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของร้านค้าที่อยู่ในค่ายจะปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ และที่สำคัญร้านค้าในค่ายจะปิดให้บริการพร้อมกันทั้งหมดในเวลา 20.00 น. สิ่งน่าเป็นห่วงคือการดื่มของนายทหารชั้นประทวน ที่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาด้านต่างๆ ตามมา
“การจัดโครงการทหารไทยหัวใจสีขาวฯ ขึ้นมา นอกจากวัตถุประสงค์ข้างต้นแล้ว ปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งหากมีการดื่มเป็นประจำจะทำให้ติดได้เหมือนกับยาเสพติดเช่นกัน และเพื่อเป็นการสกัดนักดื่มและป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทางหน่วยงานจึงได้จัดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าร่วมโครงการด้วยความสมัครใจ เพื่อให้เกิดบุคคลต้นแบบเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ครอบครัวและเพื่อนร่วมงาน ซึ่งจะส่งผลให้หน่วยงานเป็นหน่วยงานทหารและชุมชน/หมู่บ้านสีขาว ตามนโยบายของรัฐบาลและกองทัพบก”พลตรีอภิชัย กล่าว
ทั้งนี้กลุ่มเป้าหมาย ที่จะเข้าร่วมโครงการฯคือ องค์กร หน่วยงาน ร้านค้า ในค่ายธนะรัชต์ จำนวน 100 แห่ง,ข้าราชการ กำลังพล พนักงานราชการลูกจ้าง ครอบครัว และประชาชนทั่วไป ที่พักอาศัยอยู่ในค่ายธนะรัชต์ ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ จำนวน 100 คน, ข้าราชการ กำลังพล พนักงานราชการ ลูกจ้างที่มีประวัติการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก หรือเสพยาเสพติดชนิดอื่นๆที่สมัครใจ ลด ละ เลิก ในช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน จำนวน 50 คน และข้าราชการ กำลังพล พนักงานราชการ ลูกจ้าง ที่มีประวัติการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก หรือเสพยาเสพติดชนิดอื่นๆที่สมัครใจเลิกดื่มเหล้าและเลิกเสพยาเสพติดทุกชนิดตลอดชีวิต จำนวน 50 คน
สำหรับการจัดกิจกรรมทหารไทยหัวใจสีขาวฯได้ เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม – พฤศจิกายน 2555 รวมเป็นเวลาประมาณ 6 เดือน โดยจัดกิจกรรม อบรม สัมมนา การให้ความรู้ สร้างขวัญกำลังใจและภูมิคุ้มกัน โดยมีวิทยากรที่ เครือข่ายองค์กรงดเหล้าร่วมกับศูนย์การทหารราบ จัดมาให้รวมทั้งมีการประชาสัมพันธ์เชิญชวนองค์กร หน่วยงาน ร้านค้าในค่ายธนะรัชต์ สมัครเข้าร่วมโครงการ, ตั้งจุดลงนามในสมุดปฏิญาณตนงดเหล้าเข้าพรรษา, จัดพิธีให้สัตย์ปฏิญาณตนงดเหล้าเข้าพรรษา, จัดกิจกรรมการอบรมให้ความรู้เพื่อให้เห็นโทษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาเสพติด รวมถึงคุณประโยชน์ของการไม่ดื่มสุราและห่างไกลยาเสพติด, จัดกิจกรรมทางศาสนา เป็นเครื่องมือสร้างภูมิคุ้มกันทางใจ สร้างความรู้ความเข้าใจ พิษภัย จากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาเสพติด ทำให้เห็นถึงคุณประโยชน์จากการห่างไกลยาเสพติด ตามหลักศีลธรรมทางศาสนา และจัดกิจกรรม การรณรงค์ ลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาเสพติดทุกชนิด ในหน่วยทหาร และครอบครัวชุมชนผู้พักอาศัยในค่ายฯ โดยให้ผู้เข้าร่วมโครงการเป็นผู้ถ่ายถอดความรู้ที่ได้จากการอบรมและชักชวนคนรู้จัก ลด ละ เลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ทั้งนี้คาดการณ์กันว่า ผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด จะมีเงินออมจากการงดเหล้าเข้าพรรษาตลอด 3 เดือน ไม่น้อยกว่า คนละ 1,226 บาท
สำหรับประเทศไทยแล้วมีจำนวนข้าราชการมากถึงหลักล้าน แต่หากข้าราชการเหล่านี้ ตกเป็นทาสของแอลกอฮอล์แล้ว เชื่อว่าศักยภาพและประสิทธิในการทำงานให้กับประเทศจะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ดังนั้นการที่ศูนย์การททหารราบ ค่ายธนะรัชต์ จัดโครงการทหารไทยหัวใจสีขาวฯ ขึ้นมานับว่า เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับหน่วยงานภาครัฐที่ตระหนักปัญหาแอลกอฮอล์ที่เกิดขึ้นในหน่วยงาน เท่ากับเป็นการปกป้องและแก้ปัญหาให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างน่าชื่นชม และเป็นการคุ้มครองสุขภาพของทหารไทยได้อีกทางหนึ่ง
ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย